นายสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นายกสภาวิศวกร กล่าวว่า สถานการณ์ฝุ่นละอองพิษขนาดเล็ก PM 2.5 กลายเป็นวิกฤตมลพิษทางอากาศของกรุงเทพฯ นับตั้งแต่ปี 62 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งองค์การอนามัยโลก (WHO) รายงานว่าการได้รับฝุ่น PM 2.5 เข้าสู่ร่างกายจะเป็นอันตรายต่อปอดและมีโอกาสเสี่ยงต่อการเสียชีวิต โดยเฉพาะกลุ่มเด็กเล็ก และผู้สูงอายุ สภาวิศวกรจึงขอเสนอทางออกในการรับมือฝุ่น PM 2.5 ใน 8 มิติ เพื่อลดมลพิษที่เกิดขึ้นในระยะยาวและสร้างสุขภาพที่ยั่งยืนให้กับคนไทย
สำหรับข้อเสนอดังกล่าว ประกอบด้วย 1.ติดตั้งระบบการแจ้งเตือนมลพิษในเมือง สถานการณ์ฝุ่นละอองพิษขนาดเล็ก PM 2.5 ในกรุงเทพฯ เพราะแต่ละพื้นที่มีความหนาแน่นของฝุ่นแตกต่างกัน ในบางพื้นที่จะมีปริมาณความหนาแน่นของฝุ่นทะลุตั้งแต่ 20-50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร สาเหตุหลักไม่ได้เกิดจากสภาพอากาศปิด แต่เกิดจากมลพิษอากาศที่ปล่อยควันเสียของเครื่องยนต์ดีเซล การก่อสร้าง และจากโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งขณะนี้มีการนำร่องติดตั้งสถานีตรวจวัดฝุ่น ณ สถานีพระจอมเกล้าลาดกระบัง และในอนาคตเตรียมขยายจุดติดตั้งเพิ่มขึ้น โดยสามารถต่อยอดผ่านการทำแผนที่ตรวจสอบบริเวณที่มีฝุ่นหนาแน่น เพื่อแจ้งเตือนประชาชนได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ เช่น ระบบการแจ้งเตือนมลพิษในประเทศเกาหลีใต้ จีน และสหรัฐอเมริกา
2.ผลักดันแนวคิดในการพัฒนาภาษีฝุ่น หากต้องการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในระยะยาว ด้วยการจัดทำมาตรการทางภาษีบังคับใช้กับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ หากองค์กรใดมีการบริหารจัดการการก่อสร้างที่มีมาตรฐาน ลดปริมาณการเกิดฝุ่น จะสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ ขณะที่ผู้ประกอบการที่ไม่มีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมจะต้องเผชิญกับการเสียภาษีฝุ่น นอกจากนี้ควรมีการจัดเก็บภาษีสำหรับยานพาหนะที่ปล่อยควันดำสร้างปัญหามลพิษทางอากาศ หากยานพาหนะมีสภาพเก่าจะต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น เพื่อนำภาษีเหล่านี้มาดูแลทางด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับสุขภาพของคนไทย
3.พัฒนาแอพพลิเคชั่นแจ้งเตือนปริมาณฝุ่น (Smart Mobility) ถึงเวลาที่ประเทศไทยต้องใช้เทคโนโลยีมาบริหารจัดการเมื่อเข้าบริเวณฝุ่น PM 2.5 เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลาและแบบเรียลไทม์ ตลอดจนเป็นแนวทางป้องกันให้ประชาชนสามารถเตรียมสวมหน้ากาก เมื่อจำเป็นต้องเข้าไปยังพื้นที่ที่มีปริมาณฝุ่นหนาแน่น และลดความเสี่ยงต่อสุขภาพของคนไทย
4.กำหนดพื้นที่เสี่ยง (Risk Area) การเกิดฝุ่น PM2.5 ของประเทศไทยยังจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในระยะยาวอย่างแน่นอน หากทุกภาคส่วนไม่มีแนวทางการแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งการกำหนดพื้นที่เสี่ยงถือว่าเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งยวด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณป้ายรถเมล์เป็นบริเวณที่มีปริมาณฝุ่นหนาแน่น แต่กลับไม่มีการให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับประชาชน ซึ่งในปัจจุบันพื้นที่กรุงเทพฯ มีป้ายรถเมล์จำนวนถึง 5,000 ป้าย และมีป้ายรถเมล์ที่เสี่ยงต่ออันตรายสุขภาพถึง 1,000 ป้าย ดังนั้นภาครัฐจึงควรลงทุนติดตั้งพัดลมบริเวณดังกล่าว เพื่อลดปริมาณฝุ่นสำหรับผู้ที่ต้องเดินทางโดยรถโดยสารสาธารณะ
5.มาตรการการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM 2.5 ด้วยการฉีดน้ำจากที่สูง การฉีดน้ำล้างถนน และการติดสปิงเกอร์บนตึกสูงเพื่อพ่นละอองน้ำ ถือเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุดและไม่เกิดประสิทธิภาพ เพราะเมื่อละอองน้ำจับตัวกับฝุ่น PM 2.5 แห้งตัวแล้วจะกลับมาเป็นฝุ่นฟุ้งกระจายเหมือนเดิม ดังนั้นภาครัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควรวิเคราะห์ถึงต้นเหตุของปัญหาและแนวทางแก้ไขที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืน โดยจะพบฝุ่นส่วนใหญ่อยู่ในบริเวณพื้นที่ก่อสร้าง ถนนที่มีการจราจรหนาแน่น ป้ายรถเมล์ ใต้สถานีรถไฟฟ้า เป็นต้น
6.พัฒนาระบบ Big Data เพื่อจัดเก็บข้อมูลและนำมาวิเคราะห์ รวมทั้งบริหารความเสี่ยงของพื้นที่ที่เป็นอันตราย เพื่อคาดการณ์และแจ้งเตือนความหนาแน่นของปริมาณฝุ่นที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น การแจ้งล่วงหน้าอย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพื่อเอื้อต่อประโยชน์ในการบริหารจัดการ การแจ้งปิดโรงเรียนเฉพาะแห่งที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงได้ดียิ่งขึ้น เพราะจากเหตุการณ์เมื่อปี 2562 ที่ผ่านมา ภาครัฐได้ดำเนินการสั่งให้โรงเรียนทั้งหมดในพื้นกรุงเทพฯ ปิดทำการเรียนการสอน ซึ่งแท้จริงแล้วโรงเรียนในบางพื้นที่ไม่ได้ประสบปัญหาดังกล่าว
7.เตือนภัยกลุ่มเสี่ยงที่จะได้รับอันตรายจากฝุ่น PM 2.5 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มเด็กเล็ก กลุ่มผู้สูงอายุ สตรีมีครรภ์ และผู้ป่วยโรคทางเดินหายใจ ที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคระบบทางเดินหายใจ โรคปอด โรคทางสมอง และโรคมะเร็ง ซึ่งนับเป็นการทำลายทรัพยากรมนุษย์ที่เป็นกำลังสำคัญของชาติในอนาคต
8.ชงนโยบายแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน ซึ่งสภาวิศวกรร่วมกับวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบและวัดปริมาณฝุ่น รวมทั้งจัดอบรมให้ความรู้ประชาชนให้มีองค์ความรู้เรื่องฝุ่นและการดูแลตัวเองในเบื้องต้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีการจัดประชุมระดมความคิดเห็นร่วมกับนักวิชาการจากหน่วยงานภาครัฐ และภาคการศึกษา เพื่อวิเคราะห์และเสนอทางออกการแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ทั้งในระยะสั้น กลาง และระยะยาว ต่อรัฐบาล เพื่อนำไปพิจารณาและออกเป็นข้อบังคับใช้ในอนาคต โดยสภาวิศวกรพร้อมเป็นหน่วยงานในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมแก่หน่วยงานรัฐ เอกชน ภาคการศึกษา ตลอดจนประชาชนทั่วไปที่สนใจ
ด้าน นายประเสริฐ ตปนียางกูร เลขานุการสภาวิศกร กล่าวว่า ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เกิดขึ้นมานานแล้วและไม่เพียงแค่ในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังเกิดขึ้นในทุกประเทศทั่วโลก เช่น ประเทศจีน อินเดีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งฝุ่นดังกล่าวเป็นอันตรายสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 3 ปี และผู้สูงอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป โดยเกณฑ์มาตรความปลอดภัยของประเทศไทย ปริมาณฝุ่น PM 2.5 อยู่ในระดับ 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งคุณภาพอากาศอยู่ในระดับปานกลาง แต่หากต้องการให้คุณภาพดีหรือดีมากนั้น จะต้องปรับค่าปริมาณฝุ่นให้เหลือ 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร
พร้อมกันนี้ขอแนะให้ภาครัฐปรับมาตรการระยะกลาง ผ่านการปรับมาตรฐานค่าฝุ่น PM 2.5 ให้ดีขึ้น โดยเฉลี่ยที่ 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก เพื่อยกระดับคุณภาพอากาศให้ดีขึ้นและปลอดภัย รวมทั้งจัดทำมาตรการควบคุมแหล่งกำเนิดมลพิษ โดยเริ่มต้นที่รถบรรทุก รถโดยสารสาธารณะเครื่องยนต์ดีเซลที่มีอายุการใช้งาน 5 ปีขึ้นไป เพื่อปรับปรุงเครื่องยนต์ดีเซลให้ปล่อยมลพิษไม่เกินค่ามาตรฐาน และลดการปล่อยควันดำ เนื่องจากรถเหล่านี้เป็นสาเหตุหลักกว่า 70% ของการปล่อยฝุ่น PM 2.5 ถือเป็นมาตรการเร่งด่วนที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรเร่งดำเนินการ
"หากสามารถลดค่าฝุ่น PM 2.5 ลงเหลือ 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จะสามารถลดอัตราการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของคนไทย 18,000 คน และหากลดเหลือ 12 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร จะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตได้ถึง 15,000 คน"นายประเสริฐ กล่าว