นายมานะ นิมิตรมงคล เลขาธิการ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) กล่าวถึงสถานการณ์คอร์รัปชันไทยว่า ขณะนี้มีข้อมูลจำนวนมากเกี่ยวกับมาตรการต่อต้านคอร์รัปชันและกระแสความตื่นตัวของคนไทย ทำให้มั่นใจมากว่าสถานการณ์การต่อต้านคอร์รัปชันกำลังมีแนวโน้มที่ดีขึ้น คือ โกงยากขึ้น ถูกตรวจจับง่ายขึ้น และถ้าจับได้ก็เอาตัวคนผิดมาลงโทษได้เร็วและมีโทษหนักขึ้น
ส่วนการคอร์รัปชันจะมีมากขึ้นหรือน้อยลงในปีที่ผ่านมานั้น เท่าที่รับฟังจากผู้คนหลายวงการทำให้เชื่อว่า การโกงกิน การเรียกรับส่วย-สินบนในบ้านเราไม่ได้ลดน้อยลง พวกที่โกงก็ยังโกงกันอยู่ โกงสารพัดรูปแบบ มีทั้งรายเล็กรายใหญ่ ส่วนจะมากขึ้นหรือน้อยลงแค่ไหนเป็นเรื่องที่ไม่มีใครบอกได้ชัดเจน
ปัจจัยที่ทำให้สถานการณ์การต่อต้านคอร์รัปชันมีแนวโน้มดีขึ้น เนื่องจากหลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีการประกาศใช้มาตรการเพื่อแก้ไขปัญหาคอร์รัปชันอย่างเป็นระบบและเป็นรูปธรรมจับต้องได้มากที่สุดนับแต่มีรัฐธรรมนูญ ปี 2540 เป็นต้นมา ประกอบกับคนไทยตื่นตัวและร่วมลงมือต่อต้านคนโกงจริงจังมากขึ้นจนเป็นที่ยอมรับของนานาชาติ โดยเฉพาะในหมู่คนรุ่นใหม่และภาคธุรกิจหลากหลายวงการ
"ทุกวันนี้เราจึงได้เห็นประชาชนกล้าที่จะเปิดเผยพฤติกรรมฉ้อฉลที่ตนเองพบเห็นผ่านโซเชี่ยลมีเดียจนนำไปสู่การสอบสวนดำเนินคดีจำนวนมาก เช่น คดีโกงอาหารกลางวันเด็กนักเรียน โกงเงินช่วยเหลือคนพิการ" นายมานะ ระบุ
ขณะที่สถิติการร้องเรียนต่อสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว การพิจารณาตัดสินคดีในขั้นตอน ป.ป.ช.และศาลคอร์รัปชันก็รวดเร็วมากในหลายปีมานี้ อีกทั้งผลจากการออกกฎหมายใหม่อย่าง พ.ร.บ.จัดซื้อจัดจ้างฯ ทำให้มีกติกาที่รัดกุมและตรวจสอบง่ายสำหรับทุกหน่วยราชการ การเปิดเว็บไซต์ "ภาษีไปไหน" ทำให้ผู้สื่อมวลชนและผู้สนใจเข้าไปตรวจสอบการใช้งบประมาณง่ายขึ้น ขณะที่ พ.ร.บ.อำนวยความสะดวกฯ ทำให้มีการเรียกรับสินบนลดน้อยลง เพราะมีการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานการบริการประชาชนและคนทำมาค้าขาย พร้อมกันนี้หลายหน่วยราชการได้พัฒนาระบบงานและใช้เทคโนโลยี่สมัยใหม่ให้รวดเร็วและโปร่งใสมากขึ้นเช่น กรมศุลกากร กรมขนส่งทางบก
เลขาธิการ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ กล่าวว่า ที่กล่าวมาล้วนเป็นปรากฏการณ์ที่น่ายินดีและเป็นความหวังในการต่อต้านคอร์รัปชัน แม้จะเชื่อว่าคอร์รัปชันจะลดลงเมื่อข้าราชการทำตามกติกาและไม่ยอมให้ใครทำผิด ขณะที่ภาคประชาชนต้องสามารถติดตาม ตรวจสอบ แสดงความเห็นได้โดยไม่ต้องกลัวใคร เพราะได้รับการปกป้องตามรัฐธรรมนูญ
แต่ในความเป็นจริงกลับพบว่ามีหลายเรื่องที่ทำให้ประชาชนผิดหวัง เช่น บ่อยครั้งที่กลไกภาครัฐไม่โปร่งใสตรงไปตรงมา มีการใช้อำนาจและกฎหมายแบบสองมาตรฐาน มีการแทรกแซงการบริหารราชการและองค์กรอิสระแบบทีใครทีมัน การตรวจสอบถ่วงดุลฝ่ายตุลาการและองค์กรอิสระยังไม่ปรากฏ อภิสิทธิ์ชนและพวกพ้องตกเป็นข่าวมัวหมองครั้งแล้วครั้งเล่า
"คนมีอำนาจชอบพูดคำว่าโปร่งใส แต่ไม่ชอบเปิดเผยข้อมูล อ้างแต่ว่าเป็นเรื่องความลับของทางราชการหรือสิทธิส่วนบุคคล แม้แต่เอกชนที่มาประมูลงานหรือขอสัมปทานยังไปช่วยปกปิดให้เขา โดยอ้างว่าเป็นความลับทางการค้า การที่มีนโยบาย มีมาตรการ แต่กลไกรัฐไม่เดิน เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ หรือเฉไฉไป คนมีอำนาจสั่งการก็ไม่กำกับดูแลให้งานเดิน เมื่อไม่มีการปฏิบัติจริงจังก็ไม่มีอะไรสกัดกันคนโกงหรือทำให้ลดลงได้" นายมานะ กล่าว
เลขาธิการ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชันฯ กล่าวว่า ปัญหาเหล่านี้ส่งผลให้คะแนนอันดับคอร์รัปชันโลก (CPI) ของไทยไม่กระเตื้องขึ้นเลย ตัวอย่างแรก เรื่องการป้องกันคอร์รัปชันในหน่วยราชการ ตามมติ ครม.เมื่อ 27 มีนาคม 2561 ที่หัวหน้าหน่วยงานต้องรับผิดด้วยหากเกิดคอร์รัปชันในหน่วยงานของตน ดังนั้นเขาต้องหาทางป้องกันให้รัดกุม และเมื่อมีคนทำผิดหรือถูกร้องเรียนก็ต้องเร่งสอบสวนให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน แต่ผ่านมาเกือบสองปียังไม่เห็นมีใครทำอะไร ทั้งเรื่องที่เกี่ยวกับคนตำแหน่งใหญ่โตหรือคนตำแหน่งเล็กๆ
ตัวอย่างที่สอง การปฏิรูปการให้บริการประชาชนตาม พ.ร.บ.อำนวยความสะดวกฯ ประกาศตั้งแต่ต้นปี 2558 จากนั้น กพร.ได้กำหนดแนวทางปฏิบัติเพิ่มเติมหลายประการที่ทันสมัย เป็นประโยชน์ต่อประชาชนและคนทำมาค้าขายอย่างมาก แต่ผ่านมา 4 ปีการปฏิบัติในหน่วยงานต่างๆ ยังมีน้อยมาก โดยยกข้ออ้างและข้อขัดแย้งของกฎหมายสารพัด
ตัวอย่างที่สาม รัฐธรรมนูญกำหนดให้มีการเปิดเผยข้อมูลสาธารณะของทางราชการให้มากที่สุดเพื่อความโปร่งใส แต่ผู้มีอำนาจและหน่วยงานของรัฐจำนวนมากกลับทำให้ผิดเพี้ยน คือเปิดเผยน้อยลงหรือมีข้อจำกัดมากขึ้น เช่น กรณีของ ป.ป.ช. สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจตนาหรือขาดความเข้าใจกันแน่
"สถานการณ์คอร์รัปชันไทยมีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดีขึ้นเพราะความตื่นตัวของภาคประชาชนและภาคธุรกิจ รวมถึงการมีมาตรการดีๆ ออกมาหลายอย่าง แต่โดยรวมแล้วคอร์รัปชันยังเป็นปัญหาวิกฤติ ดังนั้นทุกอย่างจะให้ดีขึ้นได้จริงในอนาคตต้องอาศัยความตั้งใจและเร่งลงมือทำร่วมกันให้มากกว่านี้" เลขาธิการ องค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน กล่าว