นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนีตี้ (TRINTY) เปิดเผยว่า ภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเดือนก.พ.63 นักลงทุนยังคงต้องระมัดระวังในการลงทุน โดยมีปัจจัยเสี่ยงที่จะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ทั้งในเรื่องของพัฒนาการของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่, ร่างพ.ร.บ งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ที่รอผลการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญกรณีส.ส.เสียบบัตรแทนกันในการโหวตร่างกฎหมายดังกล่าว , การประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) รวมถึงการเข้ามาซื้อขายของหุ้น บมจ.เซ็นทรัลรีเทลคอร์ปอเรชั่น (CRC) ที่จะเกิดขึ้นในเดือนนี้ โดยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีไว้ที่ระดับ 1,470-1,550 จุด
"กรณีไวรัสโคโรนา หากจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตยังไม่มีแนวโน้มชะลอลง คาดว่าจะเป็นปัจจัยกดดันราคาสินทรัพย์ต่อไป โดยเฉพาะตราสารและสกุลเงินเอเซีย รวมถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมัน มองว่าจุดซื้อที่ดีที่สุดของหุ้นกลุ่มที่เกี่ยวข้อง ทั้งโรงแรม สายการบิน สนามบิน โรงกลั่น ยังคงต้องรอให้ทาง WHO ประกาศว่าเชื้อไวรัสดังกล่าวสามารถที่จะถูกควบคุมได้อย่างเป็นทางการแล้ว"นายณัฐชาต กล่าว
นายณัฐชาต กล่าวอีกว่า สำหรับการประชุมของกนง. ที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 5 ก.พ.นี้ คาดว่าจะมีมติคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 1.25% ในสถานการณ์ที่เงินบาทกำลังอ่อนค่า
ส่วนประเด็นในเรื่องของการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณฯ ของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีที่มีการเสียบบัตรแทนว่าชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ หากศาลรัฐธรรมนูญตีตกทั้งฉบับจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศอย่างมีนัยสำคัญ และคาดว่าจะเห็นหน่วยงานต่าง ๆ ออกมาปรับลดประมาณการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ลงอีก ซึ่งประเด็นนี้น่าจะทำให้ราคาหุ้นของกลุ่มที่เกี่ยวข้อง เช่น รับเหมา ฐานราก วัสดุก่อสร้าง นิคมอุตสาหกรรม ยังคงเคลื่อนไหวในกรอบจำกัด
นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่ต้องติดตามอีกคือ ความเป็นไปได้ที่ทาง MSCI อาจมีการพิจารณาปรับลดน้ำหนักของธนาคารกสิกรไทย ( KBANK) ในการประกาศ Quarterly Index Review ประจำเดือนก.พ.นี้ (12 ก.พ.) หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับลด NVDR Limit ของ KBANK ลงจาก 35% มาสู่ระดับ 25% ในช่วงปลายเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งหากไม่เกิดขึ้นในรอบนี้ คาดว่าอย่างช้าจะเกิดขึ้นภายในรอบการประกาศ Semi-Annual Index review ถัดไปวันที่ 12 พ.ค.นี้
นายณัฐชาต กล่าวว่า ในช่วงจังหวะนี้ ยังคงแนะนำลงทุนในหุ้น 4 กลุ่มที่ปลอดภัย ได้แก่ กลุ่มทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) และกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (IFF) ล่าสุดอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) สหรัฐฯ และไทยทำจุดต่ำสุดใหม่ต่อเนื่อง ส่งผลให้ Dividend yield gap ของกลุ่มปรับตัวสูงขึ้นอัตโนมัติ, กลุ่มโรงพยาบาล ที่มักเป็นกลุ่มที่ Outperform ตลาดในช่วงที่เกิดโรคระบาด เลือก บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) และบมจ.บางกอก เชน ฮอสปิทอล (BCH), กลุ่มสถาบันการเงินที่มิใช่ธนาคาร ที่ไม่มีความเกี่ยวโยงกับโรคระบาด และมีโอกาสซื้อสินทรัพย์ในราคาถูก ในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว เลือก บมจ.บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ (BAM) และกลุ่มอาหาร ที่ได้ประโยชน์จากราคาสัตว์บกที่ปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงเงินบาทที่ปรับตัวอ่อนค่าเลือก บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF)
ด้านการเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ ของหุ้น CRC ประเมินว่า หุ้น CRC จะเข้าเกณฑ์หุ้นที่สามารถถูกนำเข้าคำนวณดัชนี SET50 และ SET100 ได้ทันที โดยจากการประเมินหุ้น Market cap ของสมาชิกดัชนีทั้งสองล่าสุด คาดว่าหุ้นที่จะถูกถอดออกจากดัชนี SET50 และ SET100 แทนก็คือ บมจ.บ้านปู เพาเวอร์ (BPP) และบมจ.เอเชีย เอวิเอชั่น (AAV) ตามลำดับ แนะนำหลีกเลี่ยงหุ้นทั้ง 2 ตัวไปก่อนในช่วงนี้
นอกจากนี้หุ้น CRC ที่มีแนวโน้ม P/E สูงกว่าตลาดจะทำให้ P/E ของ SET Index ปรับตัวสูงขึ้นโดยอัตโนมัติ ผ่านประมาณการ EPS ที่ถูกลดทอนลง ทั้งนี้ จากการคำนวณของบล.ทรีนีตี้ล่าสุด พบว่าประมาณการ EPS ของ SET ปี 63 และ 64 จะถูกปรับลงราว 1.5 -1.7 บาท จากเดิม หรือราว 1.5 -1.6% ซึ่งจะทำให้ Upside ของ SET Index ถูกจำกัดมากขึ้นไปอีก