ฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก (GLOBLEX) ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยช่วงนี้มีโอกาสปรับตัวลง จากความวิตกกังวลการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ และยังมีการแพร่ระบาดของไข้หวัดนก H5N1 ในมณฑลหูหนานประเทศจีน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก โดยล่าสุดหลายสำนักวิจัยต่างปรับลดประมาณการณ์ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ปี 2563 ลง ซึ่งเป็นผลกระทบจากการท่องเที่ยวชะลอตัว รวมทั้งภาวะภัยแล้งในปีนี้ที่มีท่าทีรุนแรงมากกว่าปีที่แล้ว
อีกทั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2563 เหลือ 3.3% จากเดิม 3.4% จากผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ภาพรวมเศรษฐกิจที่อ่อนแอของประเทศเกิดใหม่อย่างประเทศอินเดีย ขณะที่ประเทศจีนเปิดเผยกำไรของบริษัทอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ร่วงลง 6.3% ในเดือนธ.ค.62 เมื่อเทียบเป็นรายปี ทั้งปี 2562 กำไรภาคอุตสาหกรรมปรับตัวลง 3.3% เมื่อเทียบเป็นรายปี ซึ่งลดลงมากกว่าในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2562 ที่ลดลงเพียง 2.1%
นอกจากนี้สถานการณ์ในประเทศ โดยเฉพาะสถานการณ์ทางการเมืองซึ่งพรรคฝ่ายค้านได้ยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นรายบุคคล โดยพุ่งเป้าไปที่ตัวนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีอีก 5 กระทรวง ซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่นด้านการลงทุนในระยะสั้น จึงให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีไว้ที่ระดับ 1,485-1,525 จุด
ทั้งนี้ ยังคงต้องจับตาดูการรายงานสถานการณ์การส่งออกของสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สภาผู้ส่งออก) รวมถึงสภาธุรกิจตลาดทุนไทย แถลงผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนและอัพเดตสถานการณ์ลงทุน และวันที่ 5 ก.พ.63 ติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งที่ 1/2563 เกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย พร้อมทั้งการประชุมคณะกรรมการร่วม 3 สถาบันภาคเอกชน (กกร.) และจีนเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนม.ค. ส่วนสหภาพยุโรป (อียู) เปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนม.ค. และสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนม.ค., ดุลการค้าเดือนธ.ค., ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI), ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนม.ค., ดัชนีภาคบริการเดือนม.ค. และสต็อกน้ำมันรายสัปดาห์ ส่วนวุฒิสภาสหรัฐ กำหนดลงมติญัตติการถอดถอนนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีในวันที่ 6 ก.พ.นี้
ขณะเดียวกันในวันที่ 6 ก.พ.นี้ สหรัฐจะเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และวันที่ 7 ก.พ.นี้ ญี่ปุ่นเปิดเผยการใช้จ่ายภาคครัวเรือนเดือนธ.ค., ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนธ.ค. รวมทั้งจีนเปิดเผยยอดส่งออก นำเข้า ดุลการค้าเดือนม.ค. และทุนสำรองเงินตราต่างประเทศเดือนม.ค. และสหรัฐเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนม.ค. และสต็อกสินค้าคงคลังภาคค้าส่งเดือนธ.ค.
นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวเพิ่มเติมว่า ในแง่ของภาพรวมในประเทศนั้น น่าจะส่งผลเชิงบวกระยะสั้น โดยรัฐบาลเตรียมออกแพ็กเกจกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหญ่ด้านการท่องเที่ยว การปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเครื่องบิน และยืดระยะเวลายื่นภาษีเงินได้นิติบุคคลออกไปอีก 3 เดือน รวมทั้งค่าเงินบาทที่อ่อนค่าต่อเนื่องเมื่อเทียบกับต้นปีเห็นได้จากเดือนม.ค.63 ค่าเงินบาทเฉลี่ยอยู่ที่ 30.44 บาทต่อดอลลาร์ซึ่งอ่อนค่าในรอบ 9 เดือนเป็นผลดีต่อการส่งออกในปี 2563 ที่มีโอกาสกลับมาขยายตัว ขณะเดียวกันธนาคารกลางจีนประกาศอัดฉีดเงินสดเพิ่มอีก 9 แสนล้านหยวน หรือ 1.29 แสนล้านดอลลาร์เข้าสู่ระบบผ่านทางข้อตกลง reverse repo เพื่อรักษาสภาพคล่องในระบบ รวมทั้งเตรียมใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อรับมือผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เป็นการส่งสัญญาณที่ดีในการพยายามแก้ไขปัญหาดังกล่าว
แนะนำกลยุทธ์การลงทุนหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า ได้แก่ TU และ CPF และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากไข้หวัดนกระบาดในมณฑลหูหนาน ได้แก่ TU CPF และ TFG
ส่วนราคาทองคำ นายณัฐวุฒิ วงศ์เยาวรักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก กล่าวว่า ราคาทองคำในสัปดาห์นี้ เคลื่อนไหวในกรอบ 1,565-1,605 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ หรือ 23,070 - 23,720 บาทต่อทองคำ โดยได้แรงหนุนจากความกังวลเรื่องไวรัสโคโรนา ที่มีการแพร่กระจายอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งที่จีนยังมีการแพร่ระบาดของไข้หวัดนกเพิ่มเติมทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนซื้อสินค้าปลอดภัยและขายสินทรัพย์เสี่ยง อย่าง หุ้น และน้ำมัน