พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีมีกระแสข่าวว่าคนไทยลักลอบนำคนจีนที่มีอาการป่วยเข้ามารักษาตัวไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) ว่า ได้กำชับผู้ว่าราชการตรวจสอบแล้ว หากใครเกี่ยวข้องก็ต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย
พร้อมยืนยันว่า มีการตรวจสอบการเข้าออกตามแนวชายแดนอย่างรัดกุมในการตรวจสอบคัดกรองบุคคล โดยได้เน้นย้ำไปแล้ว ทั้งทางบก ทางน้ำ และ ทางอากาศรวมถึงช่องทางทางธรรมชาติ ซึ่งถ้าตรวจพบว่าผิดกฎหมายก็จะมีการส่งตัวกลับ และในวันนี้ทางกองทัพบกได้ส่งกำลังพลไปช่วยในการคัดกรองบุคคลเหล่านี้ด้วย ซึ่งขณะนี้ได้รับรายงานจากกระทรวงสาธารณสุขที่มีการตรวจบุคคลดังกล่าวผ่านโรงพยาบาลในพื้นที่ไม่พบผู้ติดเชื้อ
ส่วนกรณีที่ประเทศเกาหลีใต้พบผู้ติดเชื้อแบบก้าวกระโดดนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในส่วนของประเทศไทยมีมาตรการรองรับไว้กับระยะที่ 3 แล้วในกรณีที่มีการแพร่ระบาดของคนในประเทศ ซึ่งรัฐบาลได้ประชุมรับมือไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าจะต้องดำเนินการตามมาตรการอย่างไร ยอมรับว่าบางอย่างต้องเข้มงวดมากขึ้น และในช่วงบ่ายวันนี้จะมีการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติที่จะประกาศเป็นโรคติดต่ออันตรายนั้นเพื่อให้เจ้าหน้าสาธารณสุขทำงานได้สะดวก รัดกุมขึ้น
"ไม่อยากให้ทุกคนตื่นตระหนก แต่ควรมีกฏหมายรองรับเพื่อให้เจ้าหน้าที่ทำงานสะดวก ไม่ได้หมายความว่า ทำให้ประเทศตื่นตระหนก เพราะยังไม่ไปถึงขั้นนั้น เพียงแต่ทำกฏหมายให้รัดกุมขึ้น ทั้งเจ้าหน้าที่อย. ทั้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ในเรื่องการดูแลเพื่อระวัดระวังการแพร่กระจายในประเทศ"พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ประเทศไทยไม่มีการปิดบังข้อมูลคนป่วยใดๆ ซึ่งยังยืนยันตัวเลขผู้ที่ติดเชื้อยังคงอยู่ที่ตัวเลขเดิม แต่ผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวังมีประมาณพันกว่าคน แต่ไม่อยากให้ประชาชนตื่นตระหนก เพราะจะส่งผลกระทบในหลายด้าน แต่รัฐบาลยืนยันห่วงใยสุขภาพประชาชนที่สุด แต่เมื่อถึงความจำเป็นก็ต้องมีมาตรการมารองรับควบคุมการระบาดตามลำดับ
ส่วนกรณีที่จีนระงับนำเข้าผลไม้จากไทยนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ต้องมีการเจรจาหารือต่อไป เพื่อหาทางออกต่อไป โดยรัฐบาลทราบ และดำเนินการแก้ไขและเยียวยาต่อไป และเมื่อพ.ร.บ.งบประมาณปี 2563 ผ่านความเห็นชอบและประกาศใช้แล้ว เชื่อว่าหลายอย่างจะดีขึ้น ซึ่งรัฐบาลเตรียมมาตรการไว้หลายด้าน ทั้งเรื่องการท่องเที่ยว เศรษฐกิจฐานราก การดูแลเกษตรกร รวมถึงการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง โดยหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้วก็จะมีการหารือในที่ประชุมครม. ต่อไป เพื่อให้ตรงกับความต้องการของประชาชนและผู้ประกอบการทั้งหมด