นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า ความคืบหน้าสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (โควิด-19) ประจำวันนี้ว่า ไม่พบผู้ป่วยติดเชื้อรายใหม่เพิ่มเติม ขณะที่มีผู้ป่วยที่รักษาหายกลับบ้านอีก 2 ราย ทำให้มียอดผู้ป่วยที่กลับบ้านแล้ว 33 ราย และยังคงรักษาในโรงพยาบาล 16 ราย เสียชีวิต 1 ราย รวมยอดผู้ป่วยสะสม 50 รายเท่าเดิม โดยขณะนี้สถานการณ์ผู้ป่วยในประเทศไทยอยู่ลำดับที่ 27 ของโลก
ทั้งนี้ ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม – 7 มีนาคม 2563 มีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนต้องเฝ้าระวังสะสมทั้งหมด 4,366 ราย คัดกรองจากทุกด่าน 181 ราย มารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอง 4,185 ราย อนุญาตให้กลับบ้านได้แล้วและอยู่ระหว่างติดตามอาการ 2,629 ราย ส่วนใหญ่เป็นไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาล ยังคงรักษาในโรงพยาบาล 1,737 ราย
สำหรับสถานการณ์ทั่วโลกใน 96 ประเทศ 2 เขตบริหารพิเศษ 1 เรือสำราญ ข้อมูลตั้งแต่ 5 มกราคม – 8 มีนาคม 2563 (07.00 น.) พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อจำนวน 106,195 ราย เสียชีวิต 3,600 ราย ส่วนประเทศจีนพบผู้ป่วย 80,696 ราย เสียชีวิต 3,097 ราย
นพ.ธนรักษ์ กล่าวว่า รัฐบาลมีความพยายามที่จะชะลอการแพร่ระบาดในไทย โดยมุ่งดูแลผู้เดินทางมาจากต่างประเทศ ด้วยมาตรการต่าง ๆ ในส่วนกรณีแรงงานไทยที่เดินทางกลับจากประเทศเกาหลีใต้ ตั้งแต่วันที่ 7 - จนถึงเวลา 02.45 น.ของวันที่ 8 มีนาคม 2563 ได้ทำการตรวจเฝ้าระวังเที่ยวบินจากเกาหลีรวม 4 เที่ยวบิน มีผู้เดินทางทั้งหมด 537 คน เป็นแรงงานไทยจากเกาหลีใต้ 133 คน ในจำนวนนี้พบผู้ป่วยเข้าเกณฑ์สอบสวนโรคต้องเฝ้าระวัง 6 ราย ส่งรักษาที่โรงพยาบาลของรัฐเรียบร้อยแล้ว มีผู้เดินทางจากเมืองแทกูและคยองซังเหนือส่งไปสังเกตอาการที่ฐานทัพเรือสัตหีบเป็นเวลา 14 วัน จำนวน 60 คน เป็นชาย 27 คน หญิง 33 คน ส่วนที่เหลือ 67 คนส่งไปสถานที่รับไว้สังเกตอาการตามภูมิลำเนา ภายใต้การกำกับสั่งการของผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นเวลา 14 วัน
ส่วนการดูแลผู้ที่เดินทางมาจาก 4 ประเทศที่ถูกประกาศเป็นเขตติดโรคติดต่ออันตราย กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด-19 ซึ่งประกอบด้วย เกาหลี ,อิตาลี ,อิหร่าน และจีน ซึ่งรวมถึงมาเก๊าและฮ่องกงด้วยนั้น กระทรวงสาธารณสุขจะดำเนินการใน 2 เรื่อง โดยเรื่องแรก จะให้ผู้เดินทางจากทั้ง 4 ประเทศลงทะเบียน ขอให้แจ้งอาการตามความเป็นจริงทุกวันเป็นเวลา 14 วัน โดยผ่านช่องทางที่สะดวก ซึ่งอาจจะแจ้งอาการผ่านทางแอพพลิเคชั่น หากพบว่ามีอาการไข้ ไอ หรือเจ็บคอก็จะสามารถเข้าไปดูแลได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งหากไม่รายงานตัวทุกวันหรือไม่รายงานตามความเป็นจริงถือว่ามีความผิดและสามารถลงโทษได้ตามพ.ร.บ.โรคติดต่อ และเรื่องที่สอง จะขอความร่วมมือผู้ที่เดินทางมาจากประเทศเหล่านี้พักอยู่ในที่อยู่อาศัยเป็นเวลา 14 วัน โดยไม่ออกไปข้างนอก ถ้าให้ความร่วมมืออย่างดีก็จะไม่เป็นประเด็นแต่อย่างใด
สำหรับผู้เดินทางมาจากประเทศอื่น ๆ ที่เหลือ แนะนำให้ดูแลสุขภาพตัวเอง ถ้ามีอาการให้รีบพบแพทย์ และสามารถทำได้ก็ต้องการให้พักดูแลตัวเองเป็นเวลา 14 วันด้วยเช่นกัน
นพ.ธนรักษ์ กล่าวอีกว่า ความเสี่ยงสำหรับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มี 2 แบบ คือความเสี่ยงที่จะติดเชื้อกับความเสี่ยงที่จะรักษาหายหรือไม่ ขณะนี้ไทยมียอดผู้ป่วยสะสม 50 ราย เสียชีวิต 1 ราย รักษาหายกลับบ้านแล้ว 33 ราย โดยจำนวน 33 คน มีคนที่ใช้ยาต้านไวรัสน้อยมาก บ่งชี้ถึงว่าโรคดังกล่าวสามารถหายได้เอง โดยไม่ต้องได้รับยาต้านไวรัส และเมื่อพิจารณาจากตัวเลขต่างประเทศ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ 80-90% หายได้เองโดยไม่จำเป็นต้องได้รับยาต้านไวรัส แต่การที่ไทยรับผู้ป่วยทั้งหมดไว้ดูแลในโรงพยาบาลเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดมากขึ้น
"ยืนยันว่าโรคนี้ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรงและไม่มีความจำเป็นจะต้องได้รับยาต้านไวรัสเลย แต่จะมีผู้ป่วยจำนวนหนึ่งที่ต้องรับไว้ในโรงพยาบาล เรามีตัวเลขอยู่ประมาณ 10% ป่วย 100 คนอาจจะต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลประมาณ 10 คน ถ้าเราวิเคราะห์เฉพาะว่าเขามีความจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยความรุนแรงของโรคจริง ๆ มีไม่มาก แต่ในปัจจุบันถามว่าทำไมเรารับหมดทั้ง 50 คน สามารถตอบได้ว่าตอนนี้เรารู้จักกับโรคค่อนข้างน้อย และความสำคัญในนาทีนี้คือการป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยไปแพร่เชื้อที่อื่นอีกจึงรับไว้รักษาในโรงพยาบาลให้เขาอยู่ในห้องแยก พอเขาเข้าโรงพยาบาลโอกาสที่เขาจะไปแพร่โรคกับคนอื่นก็จะกลายเป็นศูนย์ทันที เพื่อลดผู้ป่วยที่จะเดินอยู่ในสังคม เป็นความเสี่ยงที่เขาอาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แล้วไปแพร่โรคให้กับคนอื่น ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่เรารับดูแลเป็นผู้ป่วยอาการไม่มากเลย ถ้าเป็นโรคอื่นที่มีความเสี่ยงในการแพร่โรคต่ำ บอกได้เลยว่าส่วนใหญ่อาจจะไม่จำเป็นต้องรับไว้ในโรงพยาบาลด้วยซ้ำไป"นพ.ธนรักษ์ กล่าว
นพ.ธนรักษ์ กล่าวว่า สำหรับการแก้ปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ กระทรวงพาณิชย์ ได้แจ้งว่าปัจจุบันบริษัทผู้ผลิตหน้ากากอนามัยชนิด Surgical Mask ในประเทศ สามารถผลิตหน้ากากอนามัยได้วันละ 1.2 ล้านชิ้น/วัน โดยได้จัดสรรให้กับบุคลากรสาธารณสุขในสถานพยาบาล จำนวน 700,000 แสนชิ้น/วัน ให้กับโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข 400,000 ชิ้น/วัน โรงพยาบาลนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข 30,000 ชิ้น/วัน โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย/คณะทันตแพทย์/โรงพยาบาลและคลินิกเอกชน/ โรงพยาบาลสังกัด กรุงเทพมหานคร 270,000 ชิ้น/วัน
สำหรับคำแนะนำสำหรับประชาชน ขอความร่วมมือประชาชนปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข ดูแลสุขภาพ โดยหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีคนอยู่แออัด หลีกเลี่ยงอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่มีอาการโรคระบบทางเดินหายใจ กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ และสวมหน้ากากผ้าเพื่อป้องกันโรค