นพ.รุ่งเรือง กิจผาติ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ที่ปรึกษาระดับกระทรวงและโฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ศูนย์ข้อมูลมาตรการแก้ไขปัญหาจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เชิญ 4 หน่วยงาน ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข และ กองทัพเรือ มาชี้แจงภาพรวมสถานการณ์กระบวนการคัดกรองโรคของไทย พบว่าสถานการณ์ผู้ติดเชื้อในประเทศไทยถือว่าเพิ่มขึ้นอย่างช้าๆ แบบชะลอตัวและเหมาะสม โดยมีผู้ป่วยยืนยัน 50 คนส่วนใหญ่รักษาหาย อาการหนัก 1 ราย ขณะที่ทั่วโลกมีผู้ป่วยมีจำนวนผู้ติดเชื้อ 107,000 คน ใน 102 ประเทศ
"ตัวเลขนี้สำคัญเพราะคนที่มีอาการหนัก มีประมาณ 6 พันคนหรือ 6% ตอนนี้เหลือ 5.9% ภาพของ 1 แสนคนที่มีอาการส่วนใหญ่อาการเบาๆ คล้ายไข้หวัด ส่วนที่เสียชีวิตเพราะอายุมากหรือมีโรคประจำตัว" นพ.รุ่งเรือง กล่าว
นพ.รุ่งเรือง ย้ำว่า ประเทศไทยทำครบทุกมิติ ทั้งเรื่องของคุณภาพชีวิต เศรษฐกิจ นอกจากสุขภาพเพียงอย่างเดียว เพราะทุกมิติมีความสำคัญ ซึ่งสถานการณ์ของประเทศไทยขณะนี้ดีมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เนื่องจากมีโครงสร้างทางสาธารณสุขที่ดีทั้งระดับส่วนกลางและระดับจังหวัด พร้อมยืนยันว่ารัฐบาล และกระทรวงสาธารณสุขไม่มีนโยบายปิดบังข้อมูล เพราะตามข้อเท็จจริงเมื่อพบผู้ป่วย 1 จะต้องติดตามผู้ที่มีความเสี่ยงอีกอย่างน้อย 40 คน
"เราต้องการให้การแพร่ระบาดระยะ 2 ให้นานที่สุด ซึ่งจะเห็นว่าในช่วงที่ผ่านมาเกือบ 3 เดือนมีผู้ติดเชื้อแค่ 50 คน"นพ.รุ่งเรือง กล่าว
ในส่วนกระบวนการคัดกรองโรคแรงงานไทยกลับจากเกาหลีใต้นั้น นพ.รุ่งเรือง กล่าวว่า รัฐบาลไม่เพียงตั้งรับในประเทศ แต่ยังร่วมกับทางกระทรวงการต่างประเทศและเกาหลีใต้ ให้ผู้ที่ต้องการเดินทางกลับมาลงทะเบียนและกักตัวก่อนเดินทางกลับ 14 วัน หากพบป่วยหรือมีไข้ก็ให้รักษาที่ประเทศต้นทางก่อนเดินทางกลับมา และเมื่อขึ้นเครื่องบินจะมีที่นั่งเฉพาะ มีหลุดจอดเฉพาะ และหากมีอาการไข้ก็จะส่งโรงพยาบาลทันที
"กลุ่มแรกมาถึง 13 ราย มีอาการน่าสงสัย เราส่งไปโรงพยาบาลทั้งหมด กลุ่มสองมาจาก 2 เมืองที่เป็นพื้นที่เสี่ยง เราแยกไปเลย ส่งไปสัตหีบ กลุ่มที่ไม่ให้ความร่วมมือหรืออาจจะไม่มีถิ่นที่อยู่ ส่งไปสัตหีบเหมือนกัน ส่วนกลุ่มความเสี่ยงน้อย ที่มาจากเมื่องอื่น ส่งไปดูแลแยกตัวในระดับพื้นที่ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดและอีก 30 หน่วยงานดูแล" นพ.รุ่งเรือง กล่าว
ส่วนกรณีมีผู้ที่เล็ดลอดจากกระบวนการคัดกรองราว 70-80 คน ขณะนี้สามารถติดตามตัวได้แล้ว เพราะมีข้อมูลประวัติทุกคน
พล.ร.ท.วิชัย มนัสศิริวิทยา เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ กล่าวว่า ปัจจุบันมีจำนวนแรงงานไทยจากเกาหลีใต้ที่เข้ามารับการกักตัวเพื่อสังเกตุอาการที่อาคารรับรองสัตหีบ 188 คน เป็นหญิง 99 คน และชาย 89 คน
ด้านนายสมคิด จันทมฤก รองปลัดกระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า ได้จัดเตรียมสถานที่กักตัวตามภูมิลำเนาทั่วประเทศ 232 แห่งเพื่อรองรับแรงงานไทยที่เดินทางกลับมาจากประเทศเกาหลีใต้ราว 1.4 หมื่นคน โดยเบื้องต้นหลังจากมาถึงสนานบินแล้วจะต้องผ่านการคัดกรอง หากมีอาการเสี่ยงติดเชื้อจะส่งตัวเข้าเขตกักกันของกองทัพเรือที่สัตหีบ แต่หากไม่มีอาการจะส่งกลับไปกักตัวตามภูมิลำเนา โดยมีคณะกรรมการควบคุมโรคประจำจังหวัดเป็นผู้ควบคุมดูแล
สำหรับการติดตามแรงงานที่หลบหนีการคัดกรองออกจากสนามบินไปนั้น ขณะนี้กรมควบคุมโรคสามารถติดตามตัวกลับมาเกือบครบแล้ว ส่วนกรณีนักศึกษาไทยเดินทางกลับจากประเทศอิหร่านนั้นได้ใช้กลไกในพื้นที่ติดตามตรวจสอบแล้วพบผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว 72 คน จากทั้งหมด 94 คน
ส่วนความคืบหน้าในการจัดทำหน้ากากผ้าทางเลือกนั้น ขณะนี้ได้ดำเนินการฝึกอบรมให้กับผู้สนใจไปแล้วกว่า 1 แสนคน ซึ่งจะสามารถเริ่มผลิตหน้ากากผ้าต้นทุนชิ้นละ 4.50 บาท เพื่อแจกจ่ายในพื้นที่ของตัวเองได้ทันที
ขณะที่นายวิชัย โภชนกิจ อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวว่า มีการจัดสรรโควต้าหน้ากากอนามัยที่ผลิตได้วันละ 1.2 ล้านชิ้นให้กับภาคส่วนต่างๆ ซึ่งให้ความสำคัญต่อบุคลากรทางการแพทย์และผู้ป่วยเป็นลำดับต้น โดยจัดสรรในส่วนนี้มากถึงวันละ 7 แสนชิ้น ส่วนอื่นๆ จะได้รับการจัดสรรลดหลั่นกันลงมา ซึ่งในส่วนของบุคลากรทางการแพทย์นั้นหากไม่เพียงพอก็สามารถจัดสรรให้เพิ่มเติมได้
สำหรับการดำเนินคดีกับผู้ที่จำหน่ายหน้ากากอนามัยเกินกว่ากำหนดนั้น กระทรวงพาณิชย์สามารถดำเนินคดีได้แล้ว 89 ราย โดยมีโทษจำคุก 5 ปี ปรับ 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
"วันนี้รัฐบาลเอาจริง ใครที่ละเมิดจะถูกลงโทษเด็ดขาด ไม่ว่าจะมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับใคร ไม่ว่าหน้าไหน" นายวิชัย กล่าว
ส่วนที่มีข่าวคนใกล้ชิดรัฐมนตรีกักตุนหน้ากากอนามัยนั้นเจ้าหน้าที่ได้ไปตรวจสอบแล้วแต่ยังไม่พบตัว และมีการปิดเพจหนี แต่ส่วนตัวแล้วไม่น่าจะเป็นความจริงที่มีสินค้าในสต๊อกถึง 200 ล้านชิ้น เพราะปริมาณขนาดนั้นต้องใช้เวลานานนับปี