พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์น้ำและแนวทางป้องกันแก้ไขสถานการณ์ภัยแล้งในพื้นที่ภาคตะวันออก โดย ประเมินสถานการณ์น้ำในพื้นที่ภาคตะวันออกโดยเฉพาะเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) พบว่ายังมีหลายพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการขาดแคลนน้ำ แม้ว่าฝนตกลงมาในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมาและทำให้มีน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำอยู่บ้าง แต่มีปริมาณไม่มากนัก
ดังนั้น กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) จึงได้กำหนดมาตรการเร่งด่วนเพื่อบริหารจัดการน้ำให้เพียงพอตลอดฤดูแล้งนี้ โดยหนึ่งในมาตรการคือการขอความร่วมมือทุกภาคส่วนทั้งภาคอุตสาหกรรมและประชาชนช่วยกันประหยัดน้ำและลดการใช้น้ำลง 10% ซึ่งจากการติดตามความก้าวหน้าของมาตรการ ทุกภาคส่วนในพื้นที่ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ทำให้สถานการณ์ภัยแล้งเบาบางลงและชะลอการเกิดผลกระทบในพื้นที่เสี่ยงไปได้มาก
นอกจากนี้ยังขอขอบคุณผู้ว่าราชการจังหวัดจันทบุรี คณะกรรมการลุ่มน้ำสาขาวังโตนด ชาวจันทบุรี สทนช. กรมชลประทานและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องที่ร่วมกันปันน้ำจากอ่างเก็บน้ำคลองประแกด จ.จันทบุรี ให้แก่อ่างเก็บน้ำประแสร์ จ.ระยอง จำนวน 10 ล้านลูกบาศก์เมตร ตั้งแต่ต้นเดือน มี.ค. ที่ผ่านมาเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำต้นทุนช่วยเหลือพื้นที่ จ.ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา ตลอดฤดูแล้งปีนี้
"เพื่อให้การแก้ไขปัญหาดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถช่วยเหลือประชาชนได้อย่างทันท่วงที ขอมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการดังนี้ 1.จังหวัดเป็นหน่วยงานหลักในการสำรวจ ติดตาม สถานการณ์ขาดแคลนน้ำ และให้ความช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัยอย่างทันท่วงที 2.หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมชลประทาน การประปาส่วนภูมิภาค บริษัท East Water การนิคมอุตสาหกรรมฯ และมณฑลทหารบกที่ 14 ร่วมกันป้องกันและดำเนินมาตรการลดผลกระทบในพื้นที่ EEC โดยพิจารณาปรับปรุง พัฒนาเชื่อมโยงน้ำ จัดหาแหล่งน้ำสำรองเพิ่มเติม สูบน้ำจากลำน้ำธรรมชาติเติมอ่างเก็บน้ำ กรณีมีฝนตก 3.รณรงค์ให้ทุกภาคส่วนลดการใช้น้ำลงอย่างน้อย 10% อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ปริมาณน้ำเพียงพอตลอดช่วงฤดูแล้งและเกิดความมั่นคงด้านน้ำในพื้นที่อย่างยั่งยืนตามนโยบายของรัฐบาลต่อไป" รองนายกรัฐมนตรีกล่าว
ด้านนายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ในฐานะรองผู้อำนวยการ กอนช. กล่าวว่า ได้กำหนดมาตรการเร่งด่วนเพื่อให้ปริมาณน้ำต้นทุนในพื้นที่ EEC มีเพียงพอจนถึงสิ้นเดือน มิ.ย.63 โดยการเชื่อมโยงโครงข่ายเติมน้ำใน 3 อ่างเก็บน้ำหลักในพื้นที่ จ.ระยอง และ จ.ชลบุรี ได้แก่ 1.อ่างเก็บน้ำประแสร์ จ.ระยอง ดำเนินการแบ่งปันน้ำจากอ่างเก็บน้ำประแกด จ.จันทบุรี ระบายลงคลองวังโตนด และใช้ระบบสูบผันน้ำคลองวังโตนด มาเติมอ่างเก็บน้ำประแสร์ ช่วง 1-25 มี.ค.63 รวม 10 ล้านลบ.ม. และการสร้างระบบสูบกลับชั่วคราวจากคลองสะพานเพื่อสูบน้ำในกรณีมีฝนตกในพื้นที่ คิดเป็นปริมาณน้ำประมาณ 0.15 ล้าน ลบ.ม./วัน 2. อ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล จ.ระยอง ดำเนินการสูบผันน้ำลงอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล 0.6 ล้าน ลบ.ม./วัน และสูบผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำคลองใหญ่มาลงอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหลอีก 3 ล้าน ลบ.ม. ซ่อมแซมระบบสูบกลับจากแม่น้ำระยอง เพื่อสูบน้ำในกรณีมีฝนตกในพื้นที่ คิดเป็นปริมาณน้ำ 0.10 ล้าน ลบ.ม./วัน
ส่วนนิคมอุตสาหกรรมมาตตาพุดใช้น้ำจากคลองน้ำหูเพื่อลดการใช้น้ำจากอ่างเก็บน้ำหนองปลาไหล ในปริมาณวันละ 0.05 ล้าน ลบ.ม. และ 3.อ่างเก็บน้ำบางพระ จ.ชลบุรี สูบผันน้ำจากอ่างเก็บน้ำคลองหลวง รัชชโลทรฯ จ.ชลบุรี 3 ล้านลบ.ม. และการระบายน้ำจากอ่างเก็บน้ำนฤบดินทรจินดาฯ จ.ปราจีนบุรี ลงแม่น้ำบางปะกงและสูบต่อไปยังอ่างเก็บน้ำบางพระ อีก 0.18 ล้าน ลบ.ม./วัน กรณีมีฝนตกในลุ่มน้ำบางปะกงผลักดันน้ำเค็มลงมาต่ำกว่าจุดสูบน้ำ
นอกจากนี้ยังมีมาตรการเสริมอีก 4 มาตรการเพื่อรองรับมาตรการหลักที่กล่าวไปข้างต้น ได้แก่ 1. การเจรจาซื้อน้ำจากแหล่งน้ำเอกชนเช้าในระบบน้ำของจ.ชลบุรี และ จ.ฉะเชิงเทรา อีก 14 ล้าน ลบ.ม. 2. การลดการใช้น้ำจากทุกภาคส่วนในพื้นที่ 10% 3. การลดการใช้น้ำของโรงไฟฟ้าเอกชนโดยการเดินระบบอยู่ในโหมด Stand Bye หรือเดินระบบเท่าที่จำเป็น และ 4. ผู้ประกอบการในนิคมอุตสากรรมในพื้นที่ จ.ระยอง ลดการใช้น้ำ 10% ทั้งนี้ เพื่อรองรับการใช้น้ำเพื่อการท่องเที่ยวในพื้นที่เมืองพัทยา การประปาส่วนภูมิภาคสาขาพัทยา ยังมีแผนติดตั้งระบบสูบน้ำเคลื่อนที่จากอ่างเก็บน้ำห้วยตู้ 1,2 และ อ่างเก็บน้ำมาบฟักทอง 1,2 รวม 3 ล้าน ลบ.ม. เพื่อสร้างความมั่นใจกับประชาชนจะมีน้ำกินน้ำใช้อย่างเพียงพอตลอดแล้งนี้