นพ.ขจรศักดิ์ แก้วจรัส รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ประเทศไทยได้ดำเนินการเฝ้าระวัง คัดกรอง และป้องกันควบคุมโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) อย่างเข้มข้นและต่อเนื่อง ทั้งในด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ (ท่าอากาศยาน ท่าเรือ และด่านพรมแดนทางบก) ในสถานพยาบาล (ทั้งภาครัฐและเอกชน) และเฝ้าระวังในชุมชน พร้อมให้ความรู้ประชาชนอย่างต่อเนื่องทุกพื้นที่
ขั้นตอนการคัดกรองผู้โดยสารที่เดินทางเข้าประเทศไทยทางท่าอากาศยานนั้น ผู้โดยสารต้องมีเอกสารสำคัญ คือ 1.ก่อนเช็คอินที่สนามบินให้แสดงเอกสารกับสายการบินต้นทาง ดังนี้ 1) กรณีชาวต่างชาติ ให้แสดงใบรับรองแพทย์ที่มีอายุไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง โดยระบุว่า "ผลการตรวจทางห้องปฎิบัติการด้วยวิธีค้นหาสารพันธุกรรมของไวรัสแล้วไม่พบเชื้อโควิด-19 และไม่ป่วยช่วง 14 วันก่อนเดินทาง" และหลักฐานการทำประกันสุขภาพที่คุ้มครองการรักษาโควิด-19 ในประเทศไทย ไม่น้อยกว่า 100,000 เหรียญสหรัฐ
2) กรณีชาวไทย ให้แสดงใบรับรองแพทย์ที่มีอายุไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนการเดินทาง โดยระบุว่า "มีสุขภาพเหมาะสมต่อการเดินทาง" และหนังสือรับรองการเดินทางกลับประเทศไทย ออกให้โดยสถานเอกอัครราชทูตไทย สถานกงสุลใหญ่ หรือกระทรวงการต่างประเทศ และ หลักฐานแสดงที่พักอาศัยในการกักตัว หรือคุมไว้สังเกต เป็นเวลาอย่างน้อย 14 วัน เช่น ใบยืนยันการจองที่พัก สำเนาทะเบียนบ้าน และยื่นหลักฐานให้เจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อประจำด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ
รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า มาตรการดังกล่าวมีการดำเนินงานอย่างเข้มข้นและจริงจัง เห็นได้จากรายงานผลการคัดกรองผู้โดยสารที่เดินทางเข้าประเทศไทย 4 สนามบิน (สุวรรณภูมิ ดอนเมือง ภูเก็ต และเชียงใหม่) ข้อมูลเฉพาะวันที่ 22 มี.ค.ที่ผ่านมา มีจำนวนผู้โดยสารทั้งคนไทยและชาวต่างชาติใน 4 สนามบิน รวม 4,533 คน โดยผลการคัดกรองตามเอกสารสำคัญ มีดังนี้ ถูกผลักดันกลับประเทศต้นทาง 73 คน กักกันรอกลับ 6 คน และถูกสั่งกักกัน 15 คน
มาตรการดังกล่าวเป็นการตรวจคัดกรองผู้ที่เดินทางเข้าประเทศ หากเอกสารไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วนจะดำเนินการผลักดันกลับประเทศต้นทาง โดยจะมีการดำเนินงานเข้มข้นในจุดคัดกรองของสนามบินทุกแห่งอย่างต่อเนื่องจนกว่าสถานการณ์ของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ