นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ในฐานะได้รับการแต่งตั้งเป็นโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19 ) หรือ ศบค. เปิดเผยว่า ที่ประชุมวันนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้ให้แนวทางการทำงาน 6 ข้อ คือ 1.ให้ผู้รับผิดชอบงานแต่ละด้านเสนอแผน และแนวทางปฏิบัติโดยระเอียด 2. ให้บูรณาการจัดระบบความร่วมมือดึงทุกภาคส่วนในสังคม 3. ติดตามผลกระทบที่เกิดกับประชาชนทุกกลุ่มจากการประกาศใช้พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน และเสนอแนวทางแก้ปัญหาพร้อมกับมาตรการเยียวยา
4.ให้ความเชื่อมั่นระบบการแพทย์ต่อประชาชน พร้อมระดมสรรพกำลัง ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ทั้งจากรัฐและเอกชน ซึ่งวันนี้ที่ประชุมเน้นย้ำเรื่องเวชภัณฑ์ สถานพยาบาล ที่ขาดแคลนไม่เพียงพอต่อความต้องการ จึงต้องประสานกับภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งกระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์ เพื่อลดในข้อกฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการนำเข้า เป็นต้น 5. เน้นสื่อสารในยามวิกฤติ ประสานผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ และสื่อมวลชน เพื่อให้ความรู้กับประชาชน โดยเฉพาะการเว้นระยะห่างของบุคคลในสังคม และ6. เรื่องงบประมาณขอให้ทุกส่วนราชการ ปรับแผนโครงการ เพื่อเน้นเพิ่มประสิทธิภาพงานด้านสาธารณสุข
โดยเฉพาะสาระสำคัญ เรื่องอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ใช้ต่อสู้กับเชื้อโรคให้ออกไปจากแผ่นดินไทย เรื่องนี้ลงรายละเอียดเป็นอย่างมาก และได้รายงานเพื่อให้ลดข้อจำกัดต่าง ๆ เรื่องการนำเข้า เรื่องภาษี และการจัดส่ง ซึ่งล้วนถูกแก้ไขแล้วทั้งสิ้น
ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรีให้แนวทางการประชุมของศบค.ในช่วงต้นให้มีประชุมทุกวันใช้เวลาวันละ 1 ชั่วโมง เพื่อให้การทำงานกระชับ และกลับไปปฏิบัติ
อย่างไรก็ตาม ในที่ประชุมไม่ได้พิจารณาออกข้อกำหนดเพิ่มเติมแต่อย่างใด รวมถึงเรื่องการออกเคอร์ฟิวหรือห้ามประชาชนออกจากบ้านในเวลาที่กำหนดก็ยังไม่ได้มีการหารือในที่ประชุมวันนี้ แต่แนวทางต่าง ๆ มีการเสนอมาหลากหลาย เพื่อเป็นทางเลือกจากมาตรการเบาไปหาหนัก ถ้าประชาชนร่วมมือก็ไม่ต้องใช้กฎอะไรมาบังคับเลย
ด้านพล.อ.พรพิพัฒน์ เบญญศรี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) ในฐานะรับผิดชอบการดำเนินงานในส่วนความมั่นคง กล่าวว่า การประกาศ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เนื่องจากจำนวนผู้ติดเชื้อ กลุ่มเสี่ยงที่ทวีขึ้นอย่างรวดเร็วและไม่อาจคาดเดาได้ว่าจะไปจบที่ตัวเลขใด นี่คือวิกฤตที่เผชิญจึงต้องยกระดับ ดังนั้น การประกาศ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน จึงมีความจำเป็น โดยจะไม่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของประชาชน และกำหนดมาตรการจากเบาไปหาหนัก
ในการกำหนดมาตรการต่าง ๆ ออกมา เพื่อต้องการให้ทุกคนได้ปฏิบัติตาม ไม่ว่าจะเป็นการเว้นระยะทางสังคม การไม่ชุมนุมในพื้นที่เสี่ยง และแม้ว่าบางประเทศจะมีการปิดประเทศ มีการประกาศเคอร์ฟิว แต่เชื้อโรคไม่มีวันหยุด ซึ่งไทยยังไม่มีการปิดประเทศ ปิดเมือง ไม่ปิดบ้าน แต่หากเราไม่เปลี่ยนพฤติกรรม ตัวเลขผู้ป่วยยังสูงขึ้นก็นำไปสู่การปิดประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง
ทั้งนี้ ผบ.สส. ได้ขอความร่วมมือส่วนราชการ ผู้ประกอบ ปรับพฤติกรรมครั้งใหญ่ใช้เวลาช่วงนี้ในการช่วยกันในการลดการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสโควิด-19 ด้วยการลดชั่วโมงทำงาน ทำงานอยู่ที่บ้าน เหลื่อมเวลาทำงาน รวมถึงในสัปดาห์หน้าเชิญชวนให้มีการทำงานที่บ้านและทำงานเหลื่อมเวลาด้วย และเชิญชวนให้ประชาชนทุกคนอยู่กับบ้านในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์นี้ หยุดการทำกิจกรรมและไปในพื้นที่เสี่ยง
"การที่เรามีผู้ติดเชื้อนับพัน เกิดจากความหละหลวมไม่ทำอะไรเลยเมื่อ 10 กว่าวันที่แล้ว เพราะฉะนั้นถ้าเราทำแบบนี้ย่อมส่งผล 10 กว่าวันข้างหน้า วันนี้คิด พรุ่งนี้สั่ง เสาร์อาทิตย์เริ่มต้นหยุดอยู่กับบ้าน จันทร์-ศุกร์ ปรับกิจกรรมทำงานที่บ้านได้ให้ทำ ถ้าต้องทำข้างนอก ทำให้น้อยลงเหลื่อมเวลากัน""พล.อ.พรพิพัฒน์ กล่าว
ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กล่าวว่า ขอความร่วมมือประชาชนไม่ต้องกักตุนอาหาร และขอให้ผู้ประกอบการให้ความมั่นใจกับประชาชนว่า จะต้องไม่มีการขึ้นราคาสินค้า และมีสินค้าเพียงพอต่อการจำหน่ายต่อประชาชน ซึ่งหากทุกคนปฎิบัติตามนี้ก็สามารถติดตามผลได้ว่า มีส่วนช่วยต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อได้อย่างไรบ้าง
ในการประชุมเมื่อเช้านี้ มีการรายงานจากทางสาธารณสุขว่า หากสามารถเข้มงวดการเว้นระยะทางสังคมได้ ในระยะสั้นจะมีผู้ติดเชื้อประมาณ 2,000 คน แต่หากไม่ทำอะไรเลยอาจทำให้ผู้ติดเชื้อพุ่งไปถึง 7,000-10,000 คน จึงให้ประชาชนเลือกที่จะควบคุมตัวเองแทนที่ถูกบังคับโดยภาครัฐ
ทั้งนี้ หากครบ 7 วันแล้วยังไม่ได้รับความร่วมมือจากประชาชนจำเป็นต้องประกาศเคอร์ฟิวหรือไม่นั้น ผบ.สส. กล่าวว่า ยังเชื่อว่า ทุกคนอยากให้กลับสู่ภาวะปกติโดยเร็ว จึงอยากให้ทุกคนปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต และปฏิบัติตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งใน 7 วันข้างหน้าอาจมีผลดีเกิดขึ้นได้และในระหว่างนี้จะมีการติดตามสถานการณ์ทุกๆวัน และให้ทางกระทรวงสาธารณสุขมีการประเมินว่าควรใช้มาตรการอย่างไรต่อไป
ส่วนข้อสังเกตเรื่องสนามมวยลุมพินีที่เป็นจุดเริ่มต้นแพร่เชื้อหรือไม่ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด กล่าวว่า สิ่งที่กำลังพูดถึงคือ ความร่วมมือกันเพื่อดำเนินการตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข ที่ผ่านมาอาจเกิดจากความบกพร่อง แต่ขอไม่ลงรายละเอียด เพราะมีการตรวจสอบอยู่ แต่ขอเชิญชวนทุกคนมาดูแลตนเองด้วยความสมัครใจ สาเหตุที่ทำให้เชื้อกระจาย ส่วนหนึ่งมาจากสนามมวย แต่ก็อาจจะมีจากบุคคลที่มาจากส่วนอื่นด้วย