COVID-19"วิษณุ" เชื่อเคอร์ฟิวช่วยลดการแพร่ระบาดโควิด-19 ได้ แต่แย้มอาจเพิ่มเวลาตามความจำเป็น

ข่าวทั่วไป Friday April 3, 2020 14:12 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการประกาศเคอร์ฟิวของรัฐบาล ที่ห้ามประชาชนออกจากบ้าน ในเวลา 22.00-04.00 ว่า การประกาศเคอร์ฟิวจะมีส่วนช่วยลดการแพร่เชื้อลงได้ เพราะการแพร่เชื้อส่วนใหญ่มักเกิดจากกิจกรรมที่ทำในช่วงเวลากลางคืน เช่น จากสถานบันเทิง งานเลี้ยง งานศพต่างๆ ทั้งนี้จะใช้ช่วงเวลาประกาศเคอร์ฟิวในการทำความสะอาดในพื้นที่ต่างๆด้วย

อย่างไรก็ตาม หากมาตรการนี้ยังไม่ได้ผล ยังมีผู้ที่ฝ่าฝืนออกมาในช่วงเวลาดังกล่าว หรือ ช่วยป้องกันการแพร่เชื้อได้ดี อาจมีการขยายเวลาการประกาศเคอร์ฟิวเป็น 8 ชม.หรือ 10 ชม.ต่อไป

"เพื่อความคุ้นเคยและชินกับมาตรการนี้ อาจจะขยายจาก 6 ชั่วโมง เป็น 8 หรือ 10 ชั่วโมงต่อไปได้ตามความจำเป็น เชื่อว่าจะได้ผลลดเปอร์เซนต์การแพร่ระบาดลงได้ เพราะว่าเราดูแล้วการแพร่ระบาดของกิจกรรมหลายอย่างมันมาตอนที่คนว่างแล้วไปทำ และคนว่างกลางคืนก็ไปทำกิจกรรมกลางคืน...บางคนท้วงอีกว่า กลางคืนแต่มันหัวค่ำนะ แต่รัฐไปปิด 4 ทุ่ม ครับอีกหน่อยก็ถึงหัวค่ำ"นายวิษณุ กล่าว

ทั้งนี้ นายวิษณุ กล่าวถึง กรณีการประกาศข้อกำหนดในแต่ละจังหวัด ที่อาจจะเป็นช่วงเวลาคนละช่วงกับการประกาศเคอร์ฟิวของรัฐบาล ว่า จะมีการปรับให้ทุกจังหวัดอยู่ในเกณฑ์เดียวกันต่อไป

นายวิษณุ กล่าวต่อว่า เตรียมออกข้อกำหนดยกเว้นให้ที่มีความจำเป็นให้กับผู้ประกอบอาชีพกรีดยาง อาชีพเรือประมง รวมถึงผู้ให้บริการซ่อมสายโทรศัพท์ในช่วงเวลากลางคืนเพิ่มเติม เพื่อให้ปฏิบัติหน้าที่ได้ในช่วงเวลาที่มีการประกาศเคอร์ฟิวในระหว่างที่รอคำสั่งสามารถแจ้งไปยังกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน หรือเจ้าหน้าที่ตำรวจได้

นอกจากนี้ การขนส่งอาหารในช่วงกลางคืน เช่น แกร๊บ ไลน์แมน สามารถทำได้ แต่ต้องหลักฐานทั้งบัตรประชาชน และควรมีหนังสือรับรอง และบอกเจ้าหน้าที่จะไปส่งที่ใด

สำหรับสื่อมวลชน นายวิษณุ ยืนยันว่า ไม่สามารถออกมาทำหน้าที่ในช่วงการประกาศเคอร์ฟิวได้ เพราะเชื่อว่า คงไม่มีข่าวให้ทำช่วงเวลานั้น เว้นแต่มีการขออนุญาตเฉพาะรายไป

อย่างไรก็ตาม นายวิษณุ ย้ำว่า ในขณะนี้ยังไม่มีการปิดประเทศ แต่เพิ่มเข้มงวดกับการเดินทางของคนต่างชาติมากขึ้นเป็น 2 เท่า จึงอยากขอร้องให้ชะลอการเข้าประเทศอย่างน้อย ถึงวันที่ 15 เมษายนนี้ ส่วนคนไทยทั้งจากสหรัฐ หรืออินโดนีเซีย ก็สามารถกลับมาได้แต่ต้องเข้าสู่มาตรการกักกันเป็นเวลา 14 วันทุกคน รวมถึงการนำเข้าและส่งออกสินค้ายังสามารถทำได้ปกติ

พล.ต.ท.ปิยะ อุทาโย ผู้ช่วยผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ในฐานะโฆษก สตช. กล่าวถึงแนวทางการทำงานหลังมีประกาศเคอร์ฟิวทั่วประเทศว่า ผู้บัญชาการ สตช.ได้ประชุมหารือร่วมกับผู้นำเหล่าทัพ และปลัดกระทรวงมหาดไทย เกี่ยวกับแนวทางการบูรณาการในการทำงานร่วมกัน โดยจะเพิ่มจุดคัดกรองระหว่างจังหวัดเป็น 421 จุด เพื่อบังคับใช้กฎหมายให้เข้มข้นมากขึ้นเพื่อไม่ให้ผู้ที่ไม่มีเหตุจำเป็นออกจากเคหสถานในช่วงเวลา 22.00-04.00 น. นอกจากนี้จะเพิ่มจุดตรวจร่วมและชุดเคลื่อนที่เร็วทั้งในส่วนของตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครอง เพื่อให้ครอบคลุมทุกพื้นที่มากขึ้น

"ขอให้ประชาชนปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ แต่หากมีเหตุจำเป็นก็สามารถออกจากเคหสถานได้ ซึ่งแนะนำให้พกบัตรประจำตัวประชาชนและมีหนังสือรับรองจากนายจ้างติดตัวไว้" พล.ต.ท.ปิยะ กล่าว

โฆษก สตช.กล่าวว่า สำหรับผู้ที่ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินจะถูกบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น เนื่องจากการกระทำบางกรณีอาจผิดกฎหมายหลายฉบับ เช่น การตั้งวงดื่มสุรา นอกจากจะผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้ว หากมีเรื่องยาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้องก็จะถูกลงโทษเพิ่มเติมด้วย เหมือนก่อนหน้านี้ที่ศาลได้มีคำตัดสินไปแล้ว ขณะเดียวกันต้องความร่วมมือจากประชาชนช่วยกันเป็นหูเป็นตาในการแจ้งข้อมูลให้กับเจ้าหน้าที่หากพบการกระทำผิดด้วย ซึ่งผู้ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ