นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า เตรียมให้ทนายความดำเนินคดีผู้ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการจัดซื้อยาฟาวิราเวียร์จากประเทศจีนแทนการรับความช่วยเหลือจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้ผลิตยาเอวีแกนที่บริจาคให้กว่า 30 ประเทศ เพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั้งที่ยาสองตัวนี้เป็นยาตัวเดียวกัน แค่ชื่อทางการค้าต่างกันเท่านั้น แต่มีชื่อสามัญว่าฟาวิพิราเวียร์ ซึ่งประเทศจีนได้รับสิทธิบัตรจากประเทศญี่ปุ่นไปผลิตต่อ
"สถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ปัจจุบันทั่วโลกมีความต้องการใช้จำนวนมาก ดังนั้นการซื้อหรือได้รับบริจาคต้องออกแรงเจรจากว่าจะได้มา ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการเจรจากับทั้งทูตจีนและญี่ปุ่นตลอด ส่วนข่าวที่ญี่ปุ่นจะให้ฟรีเพิ่งมีมาทีหลังและยังไม่มีความชัดเจน ไม่มีความแน่นอนว่าจะได้เท่าไร เมื่อไร เพียงพอ และทันเวลาหรือไม่ การออกเปิดเผยข้อมูลเท็จเช่นนี้ได้มอบหมายให้ทนายความดำเนินคดีตามกฎหมายทุกช่องทาง ไม่ว่าอาญา แพ่ง ปอท. และ พ.ร.ก. ฉุกเฉินฯ" นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวว่า สำหรับการนำเข้ามาใช้ในประเทศไทยล็อตแรกได้รับการสนับสนุนจากประเทศจีนแบบให้เปล่าเช่นกัน แต่เพื่อสำรองให้อุ่นใจว่าเราจะมียาเพียงพอต่อการใช้รักษาผู้ป่วยในประเทศ กรมควบคุมโรคสั่งซื้อ 40,000 เม็ด องค์การเภสัชกรรมสั่งซื้ออีก 40,000 เม็ดจากประเทศญี่ปุ่น อีก 100,000 เม็ดจากจีน และที่กำลังจะมาถึงไทยเร็วๆนี้ คือล็อตที่องค์การเภสัชฯ สั่งซื้อจากจีน 100,000 เม็ด และญี่ปุ่น 100,000 เม็ด ทั้งหมดเป็นการดำเนินการเพื่อให้มีเครื่องมือรักษาชีวิตประชาชน และยาที่ได้มาได้ใช้รักษาผู้ป่วยไปแล้วจำนวนมาก กทม.กว่า 200 ราย ตจว. กว่า 100 ราย
ขณะ นพ.สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า ยังไม่ได้รับการบริจาคยาฟาวิพิราเวียร์จากประเทศญี่ปุ่น เมื่อสอบถามพบว่า บริษัทฯ ต้องการศึกษาวิจัยทั่วโลก และให้ฟรีเฉพาะการศึกษาวิจัยคนไข้หลักร้อย ไม่ใช่ให้ผู้ป่วยทุกคน ซึ่งยาดังกล่าวมีรายงานจากการรักษาว่า ได้ผลจริง แต่ประเทศญี่ปุ่นต้องการศึกษาเปรียบเทียบกรณีต่างๆ อย่างชัดเจน ซึ่งประเทศไทยใช้มากที่สุดวันละ 2,000 เม็ด เพราะชีวิตของคนไข้ไม่สามารถรอเวลาได้
อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า กลุ่มผู้ป่วยที่ได้ยาฟาวิพิราเวียร์ 5-10 วัน โดย 10 วันจะใช้ 70 เม็ดต่อคน หากไทยได้ยาเพิ่มอีก 200,000 เม็ด แพทย์ก็จะสบายใจขึ้น โดยพรุ่งนี้คณะผู้เชี่ยวชาญจะทบทวนแนวทางการรักษาว่าให้ยายิ่งเร็วยิ่งดี พิจารณาให้ในกลุ่มที่มีอาการปอดอักเสบแม้จะไม่รุนแรง ซึ่งแนวทางนี้ประมาณการว่า 1 เดือนจะใช้ยา 70,000-80,000 เม็ด
ด้าน นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า ประเทศไทยได้เตรียมพร้อมและจัดซื้อยาฟาวิพิราเวียร์จากประเทศญี่ปุ่น 5,000 เม็ด ได้รับบริจาคจากประเทศจีน 2,000 เม็ด และเดือนมีนาคมจัดซื้อรวม 87,000 เม็ด มีผู้ป่วยต้องใช้ยา 515 คน ใช้ไปแล้ว 48,875 เม็ด ขณะนี้เหลือยาฟาวิพิราเวียร์ 38,126 เม็ด สามารถมีใช้ได้อย่างต่อเนื่องอีก 4-5 เดือน ส่วนล็อตที่สั่งซื้อจากประเทศจีนเพิ่ม 100,000 เม็ด ส่งมอบวันพรุ่งนี้ (6 เม.ย.) และสั่งซื้อจากประเทศญี่ปุ่นอีก 100,000 เม็ด โดยจะกระจายไปยังโรงพยาบาลต่าง ๆ ทั่วประเทศ และขอใช้อย่างมีเหตุผล
นพ.วิฑูรย์ ด่านวิบูลย์ ผู้อำนวยการองค์การเภสัชกรรม กล่าวว่า โรคติดเชื้อ COVID-19 ต้องใช้ยา 7 รายการ ส่วนใหญ่สามารถผลิตได้ในประเทศ และสำรองเพียงพอ ยกเว้นยาฟาวิพิราเวียร์ที่ต้องนำเข้า ซึ่งจีนทดลองใช้และพบว่าได้ผลดี ซึ่งประเทศไทยพยายามหายาดังกล่าวตั้งแต่เดือน ม.ค.63 แต่ได้มาจำนวนไม่มากนัก เพราะเป็นที่ต้องการจากทั่วโลก ล่าสุดเมื่อปลายเดือน มี.ค.63 องค์การเภสัชกรรมได้สั่งซื้อจากประเทศจีนและญี่ปุ่นเพิ่ม 200,000 เม็ด จะมีการจัดส่งยาภายในเดือน เม.ย.นี้ รวมแล้ว 287,000 เม็ด ตั้งเป้าสำรองใช้ในประเทศจำนวน 3.5 แสนเม็ด ขั้นต้นสำหรับ 2 เดือน (เม.ย.-พ.ค.63) และตั้งเป้าให้มีสำรองเพิ่มขึ้นถึง 1 ล้านเม็ด เพราะมีผู้ป่วยเพิ่มวันละหลักร้อยคน ป่วยสะสม 2,169 คน เสียชีวิต 23 คน หากไม่ใช้ยาดังกล่าวอาจจะมีตัวเลขเสียชีวิตมากกว่านี้
"ฟาวิพิราเวียร์มีแหล่งผลิตแค่ที่จีนกับญี่ปุ่น พยายามจัดซื้อให้ได้มากที่สุด แต่ละล็อตได้มาแค่แสนเม็ด ทั้งที่อยากได้เป็นล้านเม็ด เราไม่สามารถรอของบริจาคได้" นพ.วิฑูรย์ กล่าว