นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ติดตามสถานการณ์ภัยแล้งอย่างต่อเนื่องจากกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ซึ่งมี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน โดยห่วงใยปัญหาการขาดแคลนน้ำ โดยเฉพาะเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ได้แก่ ฉะเชิงเทราระยอง และชลบุรีซึ่งมีการใช้น้ำหลายภาคส่วนทั้งอุปโภค-บริโภค เกษตรกรรม อุตสาหกรรม พาณิชยกรรมและการท่องเที่ยวจึงมอบหมายให้กระทรวงเกษตรฯกำหนดมาตรการให้มีน้ำเพียงพอใช้อย่างต่อเนื่อง โดยนายทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน รายงานว่าในช่วงฤดูแล้งปี 2562/2563 ปริมาณน้ำฝนที่ตกในพื้นที่ภาคตะวันออกต่ำกว่าเกณฑ์ปกติรอบ 30 ปี ทำให้น้ำต้นทุนมีน้อย
โดยขณะนี้ร่วมมือกับทุกภาคส่วนช่วยกันแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำระยะเร่งด่วน ได้แก่ การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) และบมจ. จัดการและพัฒนาทรัพยากรน้ำภาคตะวันออก (EASTW) สนับสนุนน้ำเข้ามาเสริมในระบบกว่า 20 ล้าน ลบ.ม. อีกทั้งสถาบันน้ำและพลังงานเพื่อความยั่งยืนสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ขอความร่วมมือจากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ลดการใช้น้ำลง 10% ทำให้แผนบริหารจัดการน้ำที่วางไว้จะมีน้ำเพียงพอถึงวันที่ 30 มิ.ย. 2563 แต่ยังคงเกรงว่าหากฝนทิ้งช่วงปีที่แล้วอาจเกิดปัญหาได้ ดังนั้น เพื่อความมั่นคงด้านน้ำในพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ จึงสั่งการให้หาน้ำมาสำรองเพิ่มอีก
สำหรับการให้ความช่วยเหลือพื้นที่ประสบภัยแล้ง 24 จังหวัดนั้น นางนฤมล กล่าวว่า การประปานครหลวง และกรมชลประทานได้แจกจ่ายน้ำอุปโภค-บริโภคให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง กรมทรัพยากรน้ำบาดาลขุดเจาะบ่อบาดาล รวมสะสม 1,252 บ่อ การประปาส่วนภูมิภาค ดำเนินการแจกจ่ายน้ำสะอาดแล้ว จำนวน 54.15 ล้านลิตร กรมทรัพยากรน้ำ สนับสนุนน้ำสะอาด 10.33 ล้านลิตร กรมฝนหลวงและการบินเกษตร ปฏิบัติการฝนหลวงในพื้นที่รับน้ำ 7 อ่างเก็บน้ำในเขต จ.จันทบุรี จ.ระยอง และ จ.ชลบุรี เพิ่มน้ำต้นทุนในอ่างเก็บน้ำภาคตะวันออก
นายกรัฐมนตรีได้กำชับให้ช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนอย่างเต็มที่ตามแผนที่วางไว้ให้ครอบคลุมทุกมิติ เพื่อคลี่คลายปัญหาและขอความร่วมมือเกษตรกรให้เพาะปลูกหรืองดเว้นตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ สำหรับประชาชนทั่วไปร่วมกันใช้น้ำอย่างประหยัด