กระทรวงสาธารณสุข แถลงว่า ประเทศไทยมีความคืบหน้าในการผลิตวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ซึ่งขณะนี้มีสถาบันการศึกษาที่อยู่ระหว่างการวิจัยพัฒนาวัคซีน โดยสถาบันวัคซีนแห่งชาติได้รวบรวมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยและภาคเอกชน โดยได้ร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล และ คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เริ่มวิจัยในขั้นทดลอง ควบคู่ไปกับความพยายามที่จะร่วมมือกับต่างประเทศที่วิจัยพัฒนาวัคซีน เพื่อให้ไทยสามารถเข้าถึงวัคซีนได้เร็วที่สุด
นพ.นคร เปรมศรี ผู้อำนวยการ สถาบันวัคซีนแห่งชาติ กล่าวว่า การนำวัคซีนต้นแบบหรือนำวัคซีนที่ต่างประเทศทดสอบจากสัตว์ทดลองเข้าสู่คน หากสามารถทำความร่วมมือและมีแผนถ่ายทอดเทคโนโลยี และมีข้อตกลงกันได้ก็จะเป็นหนทางที่ไทยจะเข้าถึงวัคซีนได้เร็วที่สุด ซึ่งขณะนี้ประเทศที่มีความก้าวหน้าในการผลิตวัคซีน ได้แก่ สหรัฐ จีน และอังกฤษ ที่สามารถทดสอบในคนระยะที่ 1 และระยะที่ 2 ได้แล้ว
พร้อมกันนั้นก็ต้องพัฒนาวัคซีนต้นแบบด้วยตัวเองตั้งแต่ต้นน้ำ สร้างคนของเราให้พร้อมเพื่อให้มีความเชี่ยวชาญและมีโรงงานผลิตของตัวเอง
นพ.นคร กล่าวว่า ขณะนี้ไทยได้เจรจาทำความร่วมมือกับจีน ซึ่งได้หารือเบื้องต้นกับทางสถานทูตจีนติดตามความก้าวหน้าในความร่วมมือการลงนามในบันทึกข้อตกลง (MOU) ก็จะทำให้ไทยสามารถร่วมในขั้นตอนทดสอบวัคซีนของหน่วยงานจีน ซึ่งจะดำเนินการคู่ขนานกับการวิจัยพัฒนาวัคซีนต้นแบบด้วยตัวเองเพื่อให้เข้าถึงวัคซีนได้เร็วขึ้น
นางสุภาพร ภูมิอมร ผู้อำนวยการสถาบันชีววัตถุ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า ขณะนี้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยอยู่ในขั้นของการทดสอบวัคซีนในหนูทดลอง 2 ครั้งแล้ว โดยได้เจาะเซรั่มส่งมาให้กรมฯ ตรวจภูมิคุ้มกันว่าจะขึ้นมากน้อยเพียงใด ส่วนทางมหาวิทยาลัยมหิดล ขอให้กรมฯ เพิ่มจำนวนไวรัสในปริมาณที่มากเพียงพอจะนำไปฆ่าเชื้อให้เป็นวัคซีนเชื้อตายเพื่อนำไปทดสอบในสัตว์ทดลองและนำมาตรวจระดับภูมิคุ้มกันต่อไป
ด้านนพ.ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวถึงผลศึกษาความเป็นไปได้ในการนำยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจรที่มีฤทธิ์เพิ่มภูมิคุ้มกันโรค ต้านการอักเสบ และต้านไวรัส โดยเฉพาะไวรัสในกลุ่มโรคทางเดินหายใจมาทดลองว่าจะสามารถต้านโควิด-19 ได้หรือไม่ ในช่วงระหว่างเดือน เม.ย.-ก.ค.63 ซึ่งกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการไม่รุนแรงที่ไม่ได้รับยาต้านไวรัส
กรมฯ ร่วมกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ได้ศึกษาวิจัยฟ้าทะลายโจรว่ามีฤทธิ์ต้านไวรัสโควิด-19 หรือไม่ ในเบื้องต้นพบว่าฟ้าทะลายโจรสามารถฆ่าไวรัสโดยตรงในหลอดทดลอง และยับยั้งไม่ให้ไวรัสเพิ่มจำนวนในเซลล์ ดังนั้น จึงเหมาะกับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสที่มีอาการแล้ว
ขณะที่ผู้อำนวยการสถาบันชีววัตถุ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวอีกว่า จากการศึกษาศึกษาฤทธิ์ต้านไวรัสโควิด-19 ของสมุนไพรฟ้าทะลายโจรในหลอดทดลอง โดยทำการศึกษาจากสารสกัดหยาบเทียบกับแอนโดรกราโฟไลด์ (Andrographolide) ที่เป็นสารสำคัญ พบว่า กลไกต้านไวรัสโควิด-19 สามารถทำลายไวรัสโดยตรง และต้านไม่ให้ไวรัสเพิ่มจำนวนเซลล์ได้ แต่ไม่มีฤทธิ์ในการชักนำให้เซลล์หลั่งสารที่ช่วยยับยั้งไวรัสโควิด-19 จึงไม่แนะนำให้รับประทานเพื่อการป้องกันโรค และจำเป็นต้องทำการศึกษาวิจัยในคนต่อไป
อย่างไรก็ตาม ข้อแนะนำการใช้ฟ้าทะลายโจร คือ ไม่ควรกินยาฟ้าทะลายโจรเพื่อการป้องกันโควิด-19 โดยที่ยังไม่มีอาการ , เมื่อมีอาการคล้ายหวัด ได้แก่ ไข้ ไอ เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามร่างกาย ปวดศรีษะ ควรกินฟ้าทะลายโจรทันที และต้องป้องกันการแพร่กระจายเชื้อสู่คนใกล้ชิด, หากกินฟ้าทะลายโจรแล้วอาการไม่ดีขึ้นใน 2 วันให้รีบไปพบแพทย์
ทั้งนี้ ห้ามใช้ยาฟ้าทะลายโจรในหญิงตั้งครรภ์และให้นมบุตร และผู้ป่วยที่มีอาการไข้เจ็บคอจากการติดเชื้อแบคทีเรีย มีตุ่มหนองในคอ มีไข้สูง หนาวสั่น หากมีอาการแพ้ฟ้าทะลายโจร เช่น เกิดผื่น ลมพิษ หน้าบวม ริมฝีปากบวม หายใจลำบาก ให้หยุดใช้ยาทันทีและไม่ใช้อีก รวมทั้งควรระวังในผู้ที่ใช้ยาวาร์ฟาริน แอสไพริน โคลพิโดเกรล ยาลดความดันโลหิต และการใช้ติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะอาจทำให้แขนขาชา หรืออ่อนแรง
ดังนั้น กรมการแพทย์แผนไทยฯ จึงมีการเตรียมความพร้อมในการจัดหาฟ้าทะลายโจรให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาด โดยในส่วนของเกษตรกรได้ร่วมมือกับกรมวิชาการเกษตร และกรมส่งเสริมการเกษตร เพื่อยกระดับการปลุกฟ้าทะลายโจรคุณภาพสำหรับทำยา โดยตั้งเป้า 65 ไร่ เพื่อผลิตวัตถุดิบแห้ง 50,000 กิโลกรัม สร้างรายได้ให้เกษตรกร 6 ล้านบาท
ด้านสถานบริการสาธารณสุขของรัฐ สนับสนุนฟ้าทะลายโจร สนับสนุนให้บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข จำนวน 1 ล้านแคปซูล (30,000 คน) และโรงพยาบาลรัฐ 44 แห่ง มีปริมาณฟ้าทะลายโจร 9.2 ล้านแคปซูล รองรับผู้ป้วย 1.9 แสนคน มีกำลังผลิต 2.6 ล้านแคปซูล/วัน และมีปริมาณวัตถุดิบสามารถผลิตยาได้อีก 7.3 ล้านแคปซูล รองรับผู้ป่ว 1.5 แสนคน
พร้อมทั้งร่วมกับภาคธุรกิจ จับคู่เจรจาธุรกิจระหว่างเกษตรกร 5 กลุ่ม กับผู้ผลิตยาสมุนไพรฟ้าทะลายโจร 6 บริษัท 11 คู่เจรจา เป็นมูลค่าซื้อขายกว่า 500,000 บาท จำนวน 3,100 กิโลกรัมแห้ง และจัดทำแผนขยายตลาดต่าประเทศในกลุ่ม CLMV