นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมว.อุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการอำนวยการ สอวช.ได้สำรวจความต้องการบุคลากรทักษะสูงในอุตสาหกรรมเป้าหมายในช่วงระยะเวลา 5 ปี (2563-2567) และแนวทางการผลิตและพัฒนากำลังคน ซึ่งถือเป็นข้อมูลที่ดีในการจัดทำแผนการพัฒนากำลังคนของประเทศ โดยจะเป็นฐานข้อมูลสำคัญที่จะเป็นแนวทางการพัฒนากำลังคนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศได้ในช่วงสถานการณ์ปกติ แต่เมื่อเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปัจจุบันทำให้ต้องกลับมาทบทวนบริบทโลกที่ส่งผลกระทบถึงการลงทุนจากต่างประเทศที่มีแนวโน้มที่จะดึงการลงทุนในประเทศต่างๆ กลับสู่ประเทศของตนเอง และคาดว่าหลายๆ ประเทศจะเน้นเรื่องเศรษฐกิจฐานราก (Local Economy) มากขึ้น ซึ่งจะกระทบความต้องการกำลังคนอย่างแน่นอน ประเทศไทยจึงต้องหันมาพิจารณารูปแบบตำแหน่งงาน และการพัฒนากำลังคนที่เปลี่ยนไปตามสถานการณ์โลกที่คาดว่าจะเกิดขึ้นหลังวิกฤตการณ์โควิด-19
"หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 คาดว่าตำแหน่งงานจะไม่ได้เกิดขึ้นตามธรรมชาติของการตลาด แต่ต้องมีการสร้างงานให้เกิดขึ้นโดยแรงผลักดันของรัฐบาลที่เป็นบิ๊กแบงโปรเจ็ค ซึ่งกระทรวงฯ เองจะต้องสร้างบัณฑิตให้ตอบโจทย์และรองรับกับตำแหน่งงานที่เปลี่ยนไปตามสถานการณ์ และเรื่องการพัฒนาทักษะยังคงเป็นเรื่องสำคัญเพื่อสร้างกำลังคนให้ตอบโจทย์ได้ทันต่อบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงไป สิ่งที่ควรเร่งทำตอนนี้คือ ต้องช่วยกันคิด ช่วยกันสร้างตำแหน่งงานขึ้นมาเพื่อรองรับสถานการณ์ปัจจุบัน" นายสุวิทย์ กล่าว
สำหรับกลุ่มงานสำคัญในช่วงหลังสถานการณ์โควิด-19 ที่ภาครัฐควรผลักดันมีอยู่ 3 ด้าน คือ ด้านความมั่นคงทางสุขภาพ, ความมั่นคงทางด้านอาหาร และความมั่นคงทางอาชีพ โดยโครงสร้างทางเศรษฐกิจอาจจะต้องเน้นเศรษฐกิจฐานรากมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ตนเองได้มอบหมายให้ สอวช. หารือกับภาคเอกชน นักเศรษฐศาสตร์ รวมถึงบีโอไอ เพื่อคาดการณ์และวิเคราะห์สถานการณ์เศรษฐกิจ แนวโน้มการลงทุน และการจ้างงาน เป็นฉากทัศน์ของประเทศหลังวิกฤตการณ์โควิด เพื่อให้เห็นภาพกว้างที่ชัดเจนมากขึ้นและค่อยมาเจาะลึกลงรายละเอียดเพื่อหาวิธีการพัฒนากำลังคนให้ตอบโจทย์ตามความต้องการของประเทศหลังสถานการณ์โควิดได้อย่างตรงจุดต่อไป
ด้าน นายกิติพงค์ พร้อมวงค์ ผู้อำนวยการ สอวช. กล่าวถึงผลสำรวจความต้องการบุคลากรในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ในระยะเวลา 5 ปี (2563-2567) ว่า แนวโน้มความต้องการบุคลากรในอุตสาหกรรมเป้าหมายจำนวน 12 อุตสาหกรรมที่ได้สำรวจขณะที่ยังไม่มีปัจจัยเกี่ยวกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เข้ามาเกี่ยวข้อง พบว่า อุตสาหกรรมเป้าหมายจำนวน 12 อุตสาหกรรม ประกอบด้วย อุตสาหกรรมเชื้อเพลงชีวภาพและเคมีชีวภาพ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ อุตสาหกรรมยานยนต์แห่งอนาคต อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มผู้มีรายได้สูงและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ อุตสาหกรรมการเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ อุตสาหกรรมอาหารแห่งอนาคต อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ และอุตสาหกรรมพัฒนาบุคลากรและการศึกษา มีความต้องการบุคลากรรวม 317,946 คน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่ระดับปริญญาตรีถึงปริญญาเอก
โดยในจำนวนความต้องการบุคลากร 12 อุตสาหกรรมข้างต้น สอวช.ได้นำผลมาวิเคราะห์สามารถแบ่งเป็นความต้องการบุคลากรเพื่อรองรับยุทธศาสตร์ BCG ของประเทศ 4 ด้าน คือ ด้านเกษตรและอาหาร 74,244 คน ด้านสุขภาพและการแพทย์ 20,153 คน พลังงาน ด้านวัสดุและเคมีชีวภาพ 9,836 คน และด้านการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจสร้างสรรค์ 41,380 คน และหากพิจารณาจำนวนความต้องการบุคลากรกับจำนวนนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาในแต่ละปี พบว่า ภาคการศึกษาสามารถผลิตบัณฑิตได้ประมาณ 3 แสนคน/ปี ส่วนอุตสาหกรรมเป้าหมายมีความบุคลากรตกปีละ 63,589 คน/ปี
ผลสำรวจดังกล่าวทำให้เห็นว่า ประเทศไทยไม่ได้มีปัญหาขาดแคลนแรงงานในเชิงปริมาณ แต่ขาดแคลนแรงงานเชิงคุณภาพ ประกอบกับในปัจจุบันภาคอุตสาหกรรมมีความต้องการบุคลากรที่มีความรู้แบบบูรณาการข้ามสาขามากขึ้น ประเด็นการพัฒนาบุคลากรเพื่อตอบโจทย์ประเทศจึงอยู่ที่การสร้างความรู้และทักษะของกำลังคนให้ตรงตามความต้องการของภาคอุตสาหกรรม ทั้งสร้างหลักสูตรระดับอุดมศึกษาให้ทันสมัยและเข้มข้นมากขึ้นเพื่อผลิตบัณฑิตให้ตรงความต้องการ ควบคู่ไปกับการเพิ่มพูนทักษะ (Upskill-Reskill) ให้แก่บัณฑิต คนทำงาน ผ่านการจัดหลักสูตรระยะสั้น การฝึกงาน และการทำวิจัย โดยมีมาตรการรัฐสนับสนุนให้เกิดแรงจูงใจ อาทิ สิทธิประโยชน์บีโอไอสำหรับกิจการฝึกอบรม สิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยการยกเว้นค่าใช้จ่าย 2.5 เท่า สำหรับการฝึกอบรมระยะสั้นจากหน่วยงานฝึกอบรมที่ได้รับการรับรอง และสอดคล้องกับทักษะที่กำหนดไว้ใน Future Skills Set ที่ สอวช. อยู่ระหว่างการจัดทำ สิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยการยกเว้นค่าใช้จ่าย 1.5 เท่า ของการจ้างงานบุคลากรทักษะสูงในสาขาด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และวิศวกรรม เป็นต้น
สำหรับปัญหาเชิงคุณภาพของกำลังแรงงานในปัจจุบัน พบว่า ยังมีทักษะที่มีช่องว่าง อาทิ ทักษะภาษาต่างประเทศ ทักษะการใช้คอมพิวเตอร์ ทักษะคณิตศาสตร์และการคำนวณ ทักษะในการบริหารจัดการ ทักษะในการคิด และทักษะในการสื่อสาร เป็นต้น อีกทั้งกำลังแรงงานยังต้องได้รับการพัฒนาความรู้ให้เพียงพอต่อความต้องการ อาทิ ความรู้ด้านกฎระเบียบ ความรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความรู้ธุรกิจ และความรู้วิชาชีพ ส่วนคุณลักษณะที่ยังขาดแคลน คือ ความใฝ่เรียนรู้ เป็นต้น