ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งยืนตามคำสั่งศาลปกครองชั้นต้นไม่รับคำฟ้องที่"เครือข่ายแม่กลอง" 1,091 คน ฟ้องขอเพิกถอนมติคณะกรรมการวัตถุอันตรายที่ให้ยกเลิกการใช้สารเคมีไกลโฟเซต คลอร์ไพริฟอส และพาราควอต เนื่องจากศาลฯ เห็นว่า มติของคณะกรรมการวัตถุอันตรายตามกรณีพิพาท ยังไม่มีผลทางกฎหมายไปกระทบกระเทือนต่อสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือก่อความเดือดร้อนหรือเสียหาย หรืออาจจะก่อความเดือดร้อนหรือเสียหายโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้แก่บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ผู้ฟ้องคดีจึงมิใช่ผู้มีสิทธิฟ้องคดีขอให้ศาลปกครองเพิกถอนมติดังกล่าว
คดีนี้เครือข่ายอาสาคนรักแม่กลอง (ผู้ฟ้องคดี) นำคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองชั้นต้น ขอให้ศาลมีคำพิพากษาหรือคำสั่ง 1.ให้เพิกถอนกฏหรือคำสั่งหรือมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 (คณะกรรมการวัตถุอันตราย) และผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 (คณะกรรมการขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง) ที่ให้ระงับการผลิต การจำหน่าย การนำเข้า ครอบครอง หรือการใช้สารพาราควอต สารไกลโฟเซต และสารคลอร์ไพริฟอสเสีย ให้กลับไปเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 เช่นเดิม
2.ให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 สั่งการให้กรมวิชาการเกษตรหรือหน่วยงานในสังกัดกำหนดแผนหรือมาตรการรองรับหรือแก้ไขปัญหาเกษตรกรไม่ให้รับผลกระทบจากมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 โดยเฉพาะการกำหนดสารทดแทนที่มีราคาใกล้เคียงกันกับสารเคมีทั้งสามที่ถูกระงับไป หรือมีมาตรการอื่นใดที่จะไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อเกษตรกรทั้งประเทศ หรือ 3. ให้ผู้ถูกฟ้องคดีกำหนดแนวทาง การบริหารจัดการสารพาราควอต สารไกลโฟเซต และสารคลอร์ไพริฟอส ทางการเกษตรในประเทศไทย เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อเกษตรกรและผู้บริโภคอย่างเป็นธรรมหรือตามที่ศาลเห็นสมควร
4. ให้ศาลมีคำสั่งอย่างใดๆ เพื่อกำหนดมาตรการหรือวิธีการอย่างใดๆ เพื่อคุ้มครองเกษตรกรชั่วคราวในการใช้สารเคมีทั้งสามต่อไปก่อนจนกว่าจะมีคำพิพากษาถุงที่สุด โดยการกำหนดมาตรการอย่างใดๆ ตามที่ศาลเห็นสมควร
ต่อมาศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องนี้ไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ เนื่องจากพิเคราะห์แล้วเห็นว่า มติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ในการประชุมครั้งที่ 41- 9/2562 เมื่อวันที่ 22 ต.ค.62 เป็นเพียงมติเห็นชอบตามข้อเสนอของกรมวิชาการเกษตรที่ขอให้มีการเปลี่ยนแปลงชนิดของวัตถุอันตรายไกลโฟเซต คลอร์ไพริฟอส และพาราควอต จากวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 เป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 4 อันเป็นเพียงขั้นตอนการเตรียมการที่จะจัดให้มีประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม ยังไม่มีผลทางกฎหมายเป็นกฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใดที่จะนำมาฟ้องขอให้ ศาลปกครองมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนได้ตามมาตรา 9 วรรคหนึ่ง (1) ประกอบกับมาตรา 72 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ.2542 เช่นเดียวกับมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ในการประชุมครั้งที่ 4/2560 ที่มีมติให้ยกเลิกการใช้วัตถุอันตรายไกลโฟเซต คลอร์ไพริฟอส และพาราควอต ก็เป็นเพียงการเสนอความเห็นไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่มีผลทางกฎหมายเป็นกฎ คำสั่ง หรือการกระทำอื่นใดของฝ่ายปกครองที่จะนำมาฟ้องขอให้ศาลปกครองมีคำพิพากษาหรือคำสั่งเพิกถอนได้เช่นกัน
ต่อมาผู้ฟ้องคดียื่นคำร้องอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุดขอให้กลับคำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นให้รับฟ้องคดีไว้พิจารณา และมีคำสั่งกำหนดมาตรการคุ้มครองการใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิด ซึ่งศาลปกครองสูงสุดพิเคราะห์แล้วเห็นว่า สารทั้ง 3 ชนิดคือวัตถุอันตรายที่การผลิตการนำเข้าการส่งออกหรือการมีไว้ในครอบครองต้องได้รับใบอนุญาตตามบัญชีรายชื่อวัตถุอันตรายแนบท้ายประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเรื่องบัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย พ.ศ.2556 โดยมีกรมวิชาการเกษตรเป็นหน่วยงานผู้รับผิดชอบในการควบคุมวัตถุอันตรายดังกล่าวเช่นนี้แล้วหากจะมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงชนิดของวัตถุอันตรายไกลโฟเซตคลอร์ไพริฟอสและพาราควอตเพื่อประโยชน์แก่การป้องกันและระงับอันตรายที่อาจมีแก่บุคคลสัตว์พืชทรัพย์หรือสิ่งแวดล้อมจากวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 เป็น 4 ตามที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างนั้นย่อมเป็นอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม โดยความเห็นของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ที่จะออกประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเรื่องบัญชีรายชื่อวัตถุอันตรายเพื่อแก้ไขเปลี่ยนแปลงชนิดของวัตถุอันตราย เพื่อให้มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายต่อไปและตราบใดที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมยังมิได้มีการออกประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเรื่องบัญชีรายชื่อวัตถุอันตรายแก้ไขเปลี่ยนแปลงชนิดของวัตถุอันตรายไกลโฟเซตคลอร์ไพริฟอสและพาราควอตจากวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 เป็น 4 แล้วนำประกาศกระทรวงดังกล่าวไปประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อให้มีผลใช้บังคับเป็นกฎหมายย่อมมีผลให้วัตถุอันตรายไกลโฟเซต คลอร์ไพริฟอสและพาราควอตยังคงเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมเรื่องบัญชีรายชื่อวัตถุอันตราย พ.ศ. 2556 อยู่เช่นเดิม
ดังนั้นการที่กรมวิชาการเกษตรซึ่งเป็นหน่วยงานผู้รับผิดชอบในการควบคุมวัตถุอันตรายไกลโฟเซตคลอร์ไพริฟอสและพาราควอตขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 พิจารณาให้ความเห็นกรณีกรมวิชาการเกษตรขอให้มีการเปลี่ยนชนิดของวัตถุอันตรายดังกล่าวจากวัตถุอันตรายในการประชุม เมื่อวันที่ 22 ต.ค.62 ได้พิจารณาแล้วมีมติเห็นชอบให้มีการเปลี่ยนแปลงชนิดของวัตถุอันตรายไกลจึงเป็นเพียงการเตรียมการและการดำเนินการของเจ้าหน้าที่เพื่อจัดให้มีประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมซึ่งมีลักษณะเป็นกฎหรืออีกนัยหนึ่งก็คือเป็นเพียงขั้นตอนของการออกกฎมาใช้บังคับเท่านั้นมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 ยังหามีผลทางกฎหมายไปกระทบกระเทือนต่อสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือก่อความเดือดร้อนหรือเสียหายหรืออาจจะก่อความเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยง ได้แก่ บุคคลใดบุคคลหนึ่ง ผู้ฟ้องคดีทั้ง 1,091 จึงมิใช่ผู้มีสิทธิฟ้องคดีขอให้ศาลปกครองเพิกถอนมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1
การที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฟ้องของผู้ฟ้องคดีทั้ง 1,091 คนไว้พิจารณาเป็นการชอบด้วยกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองหรือไม่เท่านั้น ศาลปกครองสูงสุดยังไม่อาจสั่งหรือพิพากษาให้เป็นไปตามคำขอของผู้ฟ้องคดีทั้ง 1,091 คนได้ ผู้ฟ้องคดีทั้ง 1,091 คน จึงไม่อาจยื่นคำขอต่อศาลปกครองสูงสุดเพื่อขอให้ศาลมีคำสั่งกำหนดวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษาในคดีนี้ได้ คำร้องอุทธรณ์คำสั่งของผู้ฟ้องคดีทั้ง 1,091 คนฟังไม่ขึ้น การที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำฟ้องนี้ไว้พิจารณาและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความนั้น ศาลปกครองสูงสุดเห็นพ้องด้วย จึงมีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลปกครองชั้นต้น