นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เปิดเผยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศวันนี้ว่า พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรายใหม่ 2 ราย ทำให้มีจำนวนผู้ป่วยสะสม 3,033 ราย จำนวนผู้ป่วยที่รักษาหายแล้วรวม 2,857 ราย และยังมีผู้ป่วยรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 120 ราย ขณะที่ไม่พบผู้เสียชีวิตเพิ่ม ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตสะสมคงที่ 56 ราย
สำหรับผู้ป่วยใหม่ 2 ราย เป็นหญิงไทย อายุ 36 ปี และชายไทย อายุ 42 ปี ซึ่งเป็นลูกสาวและลูกเขยของผู้ป่วยที่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันก่อนหน้านี้ที่ จ.นราธิวาส และเข้ารับการตรวจหาเชื้อในวันที่ 14 พ.ค.
นพ.ทวีศิลป์ ยังกล่าวด้วยว่า จากจำนวนผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อไวรัสโควิด-19 นี้ พบว่าส่วนใหญ่ถึง 52% เป็นผู้ป่วยที่เดินทางมาขอตรวจร่างกายเอง รองลงมา 39% เป็นการติดตามจากผู้สัมผัสที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยันรายก่อน นอกนั้นเป็นผู้ป่วยที่พบจากศูนย์กักกันของรัฐ (State Quarantines), การค้นหาผู้ป่วยเพิ่มเติม และช่องทางการเข้า-ออกประเทศ
โฆษก ศบค. ยังได้รายงานถึงความคืบหน้าการใช้งานแพลตฟอร์ม "ไทยชนะ" ว่า ล่าสุดมีร้านค้ามาลงทะเบียนแล้ว 60,853 ร้านค้า จำนวนผู้ใช้งาน 3.66 ล้านคน โดยประเภทกิจการที่ผู้ให้บริการมาลงทะเบียนสูงสุด 10 อันดับแรก คือ 1.ร้านอาหาร, เครื่องดื่ม, ภัตตาคาร, ศูนย์อาหาร 15,578 ร้าน 2.ห้างสรรพสินค้า,ศูนย์การค้า,คอมมูนิตี้มอลล์ 12,770 ร้าน 3.ซุปเปอร์มาร์เก็ต, ร้านสะดวกซื้อ, ร้านค้าปลีก/ค้าส่ง 10,225 ร้าน 4.ธนาคาร 4,178 ร้าน 5.การให้บริการต่างๆ 3,954 ร้าน 6. การจำหน่ายสินค้าเพื่อการอุปโภค/บริโภค 3,671 ร้าน 7.คลินิกเสริมความงาม ร้านเสริมสวย 2,853 ร้าน 8.ร้านขายปลีกธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม 2,724 ร้าน 9.สินค้าเบ็ดเตล็ดที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต 2,148 ร้าน และ 10.ร้านขายยา 814 ร้าน
นพ.ทวีศิลป์ ย้ำว่า การเข้าไปลงทะเบียนในแพลตฟอร์ม "ไทยชนะ" ทั้งในส่วนของผู้ประกอบการและผู้ใช้บริการนั้น ข้อมูลดังกล่าวที่ถูกบันทึกไว้จะใช้เฉพาะเพื่อการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เท่านั้น ไม่มีเจตนาเพื่อนำไปใช้ในการอื่น และข้อมูลดังกล่าวจะเก็บอยู่ในระบบเพียง 60 วัน ซึ่งหากไม่พบว่ามีการติดเชื้อ ข้อมูลจะถูกลบออกจากระบบโดยอัตโนมัติ โดยยืนยันว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับการคุ้มครองข้อมูลซึ่งถือเป็นสิทธิส่วนบุคคล และขอประชาชนอย่าได้กังวลว่าข้อมูลจะถูกนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่น
โฆษก ศบค.ยังกล่าวถึงแนวโน้มการผ่อนคลายมาตรการเพื่อเปิดให้บริการในกลุ่มของสถานบันเทิงว่า กลุ่มสถานบันเทิงถือเป็นกิจการ/กิจกรรม ในกลุ่มสีแดง ซึ่งถือว่าเป็นกิจการ/กิจกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรคไปในหลายพื้นที่ และการแพร่เชื้อในสถานที่อยู่ในเกณฑ์ปานกลางถึงสูง และมีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคมอยู่ในเกณฑ์ปานกลางถึงสูง ซึ่งจากตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประเทศเกาหลีใต้ยอมรับว่าเป็นสิ่งที่ ศบค.มีความกังวล ดังนั้นจึงถือเป็นกิจการที่อยู่ในระยะ 4 ที่จะผ่อนคลายมาตรการให้
อย่างไรก็ดี ในระหว่างนี้เป็นโอกาสดีที่เจ้าของสถานบันเทิงต่างๆ จะไปหานวัตกรรมหรือวางแนวทางต่างๆ เพื่อให้เกิดความมั่นใจต่อการกลับมาเปิดสถานบันเทิงในรอบใหม่ว่าจะมีมาตรการที่เข้มข้นรัดกุม และไม่เป็นสถานที่ที่จะเป็นแหล่งการแพร่ระบาดของโรคเหมือนที่ผ่านมา
"ผับ บาร์ทั้งหลายคงต้องไปคิดแล้วว่าจะมีนวัตกรรมเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ ศบค.หรือหน่วยงานด้านสาธารณสุขได้ว่าเมื่อมีคนเข้าไปใช้บริการแล้วจะไม่ติดโรคกลับมาแน่นอน ในระหว่างที่รอเปิดร้านนี้ ท่านก็เสนอนวัตกรรมแนวคิดขึ้นมา เพื่อที่จะเตรียมความพร้อมก่อน รอเปิดกิจการ แล้วกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมในรูปแบบของ New Normal ได้" โฆษก ศบค.ระบุ
ส่วนสถานการณ์ในต่างประเทศที่น่าสนใจ ในประเทศจีนพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มอีก 5 ราย ส่วนใหญ่อยู่ในมณฑลจี๋หลิน ซึ่งมีชายแดนเชื่อมต่อกับเกาหลีเหนือและรัสเซีย ซึ่งทางการเพิ่งสั่งระงับบริการรถไฟโดยสารออกจากเมืองเมื่อวันพุธที่ 13 พ.ค.เนื่องจากพบผู้ติดเชื้อรายใหม่ ทั้งนี้ประชาชนยังถูกห้ามไม่ให้ออกจากเมือง ซึ่งผู้ที่ต้องการเดินทางออกนอกเมืองต้องมีผลตรวจอายุไม่เกิน 48 ชม.ว่าไม่ติดโรคเท่านั้น
ส่วนสถานการณ์ในเกาหลีใต้ ทางการเกาหลีใต้ระบุว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งเป็นผลมาจากสถานบันเทิงในย่านอิแทวอน ดูเหมือนจะควบคุมได้แล้ว โดยปัจจัยสำคัญคือการตรวจโรคในกลุ่มเสี่ยงอย่างรวดเร็ว และมีระบบติดตามกลุ่มเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งวันนี้เกาหลีใต้มีผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับสถานบันเทิงที่อิแทวอน 13 ราย นับเป็นวันที่ 2 ติดต่อกันที่พบผู้ป่วยจากกลุ่มนี้ต่ำกว่า 20 ราย ส่งผลให้ล่าสุดมีผู้ป่วยที่เกี่ยวข้องกับสถานบันเทิงที่อิแทควอน รวม 168 ราย
ด้านฝรั่งเศส มีสัญญาณเตือนการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในสถานศึกษาแล้ว หลังพบผู้ติดเชื้อประมาณ 70 รายที่เชื่อมโยงกับโรงเรียนภายในสัปดาห์เดียว หลังจากที่รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์อนุญาตให้ 1 ใน 3 ของนักเรียนกลับไปเรียนที่โรงเรียนได้ ทั้งนี้มีรายงานว่า โรงเรียนทางเหนือของฝรั่งเศส 7 แห่งได้ปิดการเรียนการสอนแล้ว