นพ.อนุพงศ์ สุจริยากุล ผู้ทรงคุณวุฒิกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่พบผู้ป่วยรายใหม่ 3 รายวันนี้ โดย 2 ใน 3 ราย ไม่มีประวัติสัมผัสกับผู้ป่วยก่อนหน้านี้ แต่เกิดขึ้นจากการไปสถานที่ชุมชนได้แก่ โรงพยาบาลและร้านตัดผม ซึ่งทำให้ต้องมีการดำเนินการสอบสวนโรคต่อไป และทางกระทรวงสาธารณสุขจะต้องดำเนินการคัดกรอง เฝ้าระวัง และควบคุม เพื่อไม่ให้เกิดการแพร่ระบาดเหมือนในต่างประเทศ
หลังจากนี้ทีมสอบสวนโรคจะสัมภาษณ์สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมไทม์ไลน์ของแต่ละราย เพื่อให้สามารถติดตามตัวผู้ที่สัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงให้ได้มากที่สุด
"ผู้ป่วยสองรายที่พบในกรุงเทพฯ วันนี้อาจจะเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องกับการผ่อนปรนมาตรการก็ได้ และยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่ามีผู้ติดเชื้อแค่สองรายหรือไม่ หากหลังจากนี้พบผู้ติดเชื้อเป็นกลุ่มก้อนก็แสดงว่าการระบาดระลอกสองมาแล้ว" นพ.อนุพงศ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ขอเน้นย้ำว่า เมื่อเข้ารับบริการในสถานที่ต่างๆ ให้ลงทะเบียน เข้า-ออก ในแพลตฟอร์มไทยชนะที่รัฐบาลจัดทำขึ้น เพราะหากป่วยจะง่ายต่อการสอบสวนโรคและติดตามผู้สัมผัสเข้าสู่ระบบการเฝ้าระวังโรคได้รวดเร็ว และให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของสถานที่ที่เข้ารับบริการอย่างเคร่งครัด เช่น คัดกรองไข้ การเว้นระยะห่าง รวมถึงหลีกเลี่ยงการเข้ารับบริการในช่วงเวลาที่มีคนจำนวนมาก และเมื่อกลับถึงบ้านให้รีบล้างมือ อาบน้ำทำความสะอาดร่างกายทันที หลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิดกับคนในครอบครัว
ด้านพญ.พรรณพิมล วิปุลากร อธิบดีกรมอนามัย กล่าวถึงแนวทางด้านสาธารณสุขเพื่อเตรียมความพร้อมเปิดสถานศึกษาในวันที่ 1 ก.ค.63 ว่า กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงศึกษาธิการได้ร่วมกันจัดแผนเตรียมความพร้อมเรื่องอนามัยโรงเรียนอย่างเข้มข้น เพื่อป้องกันโรคก่อนเปิดเทอม
โดยแนวทางที่กำหนดไว้ ได้แก่ 1.การคัดกรองความเสี่ยงก่อนเข้าโรงเรียน ซึ่งผู้ปกครองต้องให้ข้อมูลครบถ้วน เช่น บางคนส่งลูกไปอยู่กับญาติในต่างจังหวัดซึ่งอาจเป็นพื้นที่เสี่ยง 2.การสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา 3.มีจุดล้างมือให้สะอาด 4.การเว้นระยะห่าง 5.การทำความสะอาดพื้นผิวสัมผัสทุกจุดภายในโรงเรียน และ 6.งดจัดกิจกรรมที่ทำให้เกิดความแออัด เช่น กีฬาสี
"แนวทางนั้นเหมือนกัน แต่แนวปฏิบัติจะมีความแตกต่างไปตามวัย ตามขนาดของโรงเรียน" พญ.พรรณพิมล กล่าว
อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกันซักซ้อมและเชื่อมโยงข้อมูลเพื่อให้เกิดความปลอดภัยสูงสุด และเมื่อพบว่ามีเด็กป่วยแล้วไม่มั่นใจจะต้องรีบดำเนินการรักษาทันที ซึ่งที่ผ่านมามีอัตราเด็กติดเชื้อโควิด-19 ราว 3% โดยเป็นการติดเชื้อจากคนในครอบครัว
"ทุกคนจะต้องช่วยกันดูแลเพราะการรวมกลุ่มของเด็ก โดยเฉพาะเด็กเล็กมักขาดความระมัดระวัง และมีระยะเวลาที่อยู่ร่วมกันค่อนข้างนานเกือบทั้งวัน" พญ.พรรพิมล กล่าว