นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ชี้แจงในการพิจารณาพ.ร.ก. กู้เงิน 3 ฉบับ วงเงินรวม 1.9 ล้านล้านบาทว่า การใช้เงินกู้ส่วนของงานด้านสาธารณสุขนั้น ได้กำชับว่า ห้ามใช้ในสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ ต้องใช้ทางการแพทย์ นวัตกรรม องค์ความรู้ เครื่องมือทางการแพทย์ ประเทศไทยต้องมีความพร้อม ทั้งเครื่องมือ เวชภัณฑ์ เทคโนโลยี นี่คือนโยบายที่กระทรวงสาธารณสุขวางไว้
"ถ้านับคะแนนตอนนี้ ประเทศไทยชนะอยู่ แต่ถ้าจะน็อคเอาท์ต้องมีวัคซีน"
สำหรับงบเงินกู้ 4.5 หมื่นล้านบาทนั้น ส่วนหนึ่งจัดสรรเพื่อสนับสนุนการทดลองวิจัยและผลิตวัคซีน ซึ่งเหลือเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นผู้นำทางด้านสาธารณสุขอย่างแท้จริง
รวมไปถึงการดูแลบุคลากรทางการแพทย์ รวมทั้งอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) ที่แม้จะเป็นอาสาสมัคร โดยในอนาคตจะมีมาตรการดูแลและตอบแทนการทำงานอย่างเข้มแข็งในช่วงที่ผ่านมา
"ผมมั่นใจว่ามันไม่เกิดหรอกครับ second wave แต่ผมก็ไม่ได้ประมาท ถ้ามันเกิด ผมพูดได้คำเดียวว่ากระทรวงสาธารณสุขพร้อมที่จะให้การดูแลทุกคนที่อยู่ในประเทศไทย" นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน ระบุว่า รัฐบาลไม่ได้เตรียมมาตรการรองรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ล่าช้า เพราะได้เริ่มเตรียมการรับมือไว้ตั้งแต่ก่อนสิ้นปี 62 หลังจากนั้นได้ออกมาตรการรองรับไปตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งสามารถค้นพบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรายแรกนอกประเทศจีนซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวและดูแลรักษาจนหายป่วยสามารถเดินทางกลับประเทศได้ ซึ่งส่งผลดีต่อความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างไทย-จีน
สำหรับกรณีเกิดการแพร่ระบาดเป็นจำนวนมากในสนามมวยนั้น หลังเกิดความผิดพลาดก็สามารถติดตามค้นหาผู้ป่วยติดเชื้อมาเข้ารับการรักษาให้หายป่วยได้ทั้งหมด แต่มี 2-3 รายที่เสียชีวิตเนื่องจากมีโรคประจำตัว และจากสถิติการรักษาผู้ป่วยของไทยที่ผ่านมาอยู่ในระดับเหนือมาตรฐานที่องค์การอนามัยโลกกำหนดไว้ ขณะที่การค้นพบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อเพิ่มเติมมาจากกลุ่มที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศตามหลักมนุษยธรรมก็สามารถควบคุมได้
นายอนุทิน กล่าวอีกว่าการขยายเวลาบังคับใช้พ.ร.ก. บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น เพื่อให้เหมาะสมกับมาตรการผ่อนคลายระยะที่ 3 ทั้งนี้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มีกำหนดใช้ 3 เดือน ต่อทุก 1 เดือน และเชื่อว่าประเทศไทยพร้อมจะเดินออก
"เราไม่ได้เสียหมดจากโควิด-19 แต่ได้จากโควิดด้วยเช่นกัน ...สิ่งที่สูญเสียไปวันนี้ จะต้องเอาคืนกลับมา ประเทศไทยจะเป็นที่น่าสนใจจากนานาชาติ ทั้งเรื่องการท่องเที่ยว การแพทย์"