นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า ปัจจุบันกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ดำเนินการทางห้องปฏิบัติการอย่างเข้มข้น โดยแบ่งกลุ่มในการตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการเป็น 3 กลุ่ม คือ กลุ่มแรกคือกลุ่มผู้ที่เข้าข่ายสอบสวนโรค กลุ่มที่ 2 คือผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับผู้ที่ติดเชื้อ และกลุ่มที่ 3 คือการค้นหาเชิงรุก โดยเบื้องต้นต้องตรวจอย่างน้อย 100,000 ตัวอย่าง ภายในเดือนมิถุนายน 2563 นี้ ที่ผ่านมาได้ดำเนินการไปแล้วบางส่วนในหลายจังหวัด เช่น นครราชสีมา สุราษฏร์ธานี ปัตตานี เป็นต้น คาดว่าจะใช้เวลาไม่นานเพราะทำพร้อมกัน และมีห้องปฏิบัติการครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งฐานข้อมูลที่ได้จะนำไปสู่การจับสัญญาณการระบาดของโรคได้
สำหรับการเฝ้าระวังเชิงรุกจะประเมินอยู่ 2 อย่าง อย่างแรกคือประชาชนกลุ่มเสี่ยง คือผู้ที่ทำงานต้องสัมผัสกับบุคคลจำนวนมากหรือทำงานในที่สาธารณะมีโอกาสที่จะพบผู้ป่วยมาก เช่น บุคลากรสาธารณสุข คนที่ขับรถสาธารณะ เป็นต้น และสถานที่ที่มีการรวมคนกันอยู่อย่างหนาแน่นและทำเรื่องเว้นระยะห่างหรือ Social Distancing ได้ยาก เช่น แรงงานที่อยู่กันอย่างแออัดในบางกลุ่ม อย่างเช่น ที่จังหวัดสมุทรสาคร หรือบางกลุ่ม เช่น กลุ่มผู้ต้องหาซึ่งได้ร่วมมือกับกรมราชทัณฑ์ เป็นต้น ซึ่งกลไกสำคัญในการเฝ้าระวังเชิงรุกคือคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน ทางส่วนกลางจะให้นโยบายว่าจะตรวจกลุ่มไหน สถานที่ไหน และทางคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด จะพิจารณาจากข้อมูลของจังหวัดว่าพื้นที่ไหนและกลุ่มไหนเป็นกลุ่มเสี่ยง ซึ่งเป็นข้อดีทำให้พื้นที่สามารถปรับนโยบาย นำไปสู่ภาคปฏิบัติของตนเองและกำหนดออกมาว่าจะตรวจกี่คน
"สำหรับกรณีผลตรวจไม่ตรงกัน สามารถเกิดขึ้นได้ เพราะผลตรวจทางห้องปฏิบัติการเป็นตัวเลข เป็นเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ การแปลผลต้องร่วมกับอาการผู้ป่วย ร่วมกับข้อมูลทางระบาดวิทยา ที่ผ่านมาแล็ปที่เป็นแล็ปอ้างอิง เช่น กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บางครั้งผลการทดสอบก็รายงานไม่ตรงกันพอไม่ตรงกันก็จะมีการตรวจซ้ำมีการตรวจสอบจนผลออกมาได้ตรงกัน ผู้ที่เอาไปใช้ก็สามารถเอาไปใช้ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ในการวินิจฉัยโรค ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลทางระบาดวิทยา เพื่อไปสอบสวนสวนโรค ควบคุมโรค ซึ่งตอนนี้ประเทศไทยตรวจไปแล้วกว่า 400,000 ตัวอย่าง ทำให้ประเทศไทยเราสามารถควบคุมโรคและควบคุมการระบาดของโรคได้เป็นอย่างดี" นพ.โอภาส กล่าว