นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ ..) พ.ศ. … (มาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการศึกษา) ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ และให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณา แล้วดำเนินการต่อไป
โดยสาระสำคัญของร่างพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ เป็นการขยายระยะเวลาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษี โดยกำหนดให้ยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ สำหรับการบริจาคเงินหรือทรัพย์สินให้แก่สถานศึกษาของรัฐ สถาบันอุดมศึกษาเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันอุดมศึกษาเอกชน โรงเรียนเอกชนตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน
แต่ไม่รวมถึงโรงเรียนนอกระบบตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน และสถานศึกษาที่ตั้งขึ้นในประเทศไทยตามสนธิสัญญาหรือความตกลงระหว่างรัฐบาลไทยกับทบวงการชำนัญพิเศษแห่งสหประชาชาติ สำหรับการบริจาคผ่านระบบบริจาคอิเล็กทรอนิกส์ของกรมสรรพากร (e-Donation) ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.63 ถึงวันที่ 31 ธ.ค.64
ทั้งนี้ กระทรวงการคลังได้ดำเนินการจัดทำประมาณการการสูญเสียรายได้และประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับตามมาตรา 27 และมาตรา 32 แห่งพ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 โดยคาดว่าจะมีผลต่อการจัดเก็บภาษีลดลง 440 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม มาตรการนี้จะมีส่วนช่วยลดภาระการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายของรัฐบาลในด้านการศึกษาได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ มีดังนี้
1. จูงใจภาคเอกชนให้มีส่วนร่วมสนับสนุนด้านการศึกษา เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ตั้งแต่ด้านหลักสูตร ครูผู้สอน อุปกรณ์การเรียนการสอน และสื่อการเรียนรู้ที่มีคุณภาพแบบครบวงจร ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐอย่างต่อเนื่อง
2. ดำเนินมาตรการภาษีด้วยความต่อเนื่อง เพื่อสร้างโอกาสทางการศึกษา สนับสนุนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เป็นรากฐานการขับเคลื่อนประเทศในอนาคต ส่งผลต่อความยั่งยืนทางการศึกษาของประชาชน
3. ยกระดับสถาบันการศึกษาเฉพาะด้าน เพื่อสร้างทรัพยากรมนุษย์ที่มีความเชี่ยวชาญสู่ความเป็นเลิศ เพื่อการพัฒนาบุคลากรที่มีคุณภาพอย่างยั่งยืน และเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันได้ในระดับโลก