นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า กระทรวงสาธารณสุขได้รับจัดสรรงบประมาณตามพ.ร.ก.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563 (1 ล้านล้านบาท) จากรัฐบาลจำนวน 45,000 ล้านบาท ซึ่งใช้ในภาพรวมระบบสาธารณสุขทั้งประเทศ ไม่ใช่กระทรวงสาธารณสุขหน่วยงานเดียว จะกระจายไปกลุ่มต่าง ๆ ได้แก่ อาสาสมัครสาธารณสุข โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล โรงพยาบาลทุกระดับ สปสช. และหน่วยงานภายนอก เช่น โรงเรียนแพทย์ โรงพยาบาลสังกัดอื่น ๆ
นพ.สุขุม กล่าวว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ได้มอบนโยบายว่าการใช้จ่ายงบประมาณ ต้องคำนึงถึงความคุ้มค่า กระจายทุกภาคส่วน มีความโปร่งใส มีส่วนร่วม และคำนึงถึงประชาชนเป็นหลัก มีเป้าหมายเพื่อลดการติดเชื้อของประชากรในประเทศให้อยู่ระดับที่ควบคุมได้ ป้องกันความเสี่ยงต่อการระบาดของโรคระลอกใหม่ เพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศสามารถดำเนินการได้ ภายใต้บริบทความไม่แน่นอนจากโรคอุบัติใหม่ และประชาชนได้รับการบริการที่มีคุณภาพ มาตรฐาน ทันสมัย มีศักยภาพ
และได้กำหนดการใช้งบประมาณใน 5 แผนงาน ประกอบด้วย 1.แผนงานหรือโครงการเพื่อรองรับค่าใช้จ่าย ค่าเยียวยา ค่าชดเชย และค่าเสี่ยงภัย สำหรับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข ผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้อง และค่าใช้จ่ายในการจัดหาผู้ชำนาญการทั้งในประเทศและต่างประเทศ
2.แผนงานหรือโครงการเพื่อจัดซื้อจัดหาอุปกรณ์ทางการแพทย์และสาธารณสุข ยารักษาโรค วัคซีนป้องกันโรค และห้องปฏิบัติการทางการแพทย์
3. แผนงานหรือโครงการเพื่อค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อการบำบัดรักษา ป้องกันควบคุมโรค การวิจัยพัฒนาทางการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อการฟื้นฟูด้านสาธารณสุข
4.แผนงานหรือโครงการเพื่อเตรียมความพร้อมด้านสถานพยาบาลและค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายในการกักตัวผู้มีความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
5. แผนงานหรือโครงการเพื่อรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน อันเนื่องมาจากสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019
อย่างไรก็ตาม การใช้จ่ายงบประมาณดังกล่าว จะมีคณะกรรมการติดตามการใช้จ่ายงบประมาณ เน้นให้ประชาชนได้รับประโยชน์สูงสุด ลดผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เน้นนโยบายเร่งด่วน เช่น ค่าใช้จ่ายการกักตัวในสถานที่เฝ้าระวังที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) การวิจัยพัฒนา และจัดซื้อจัดหาวัคซีนในอนาคต เป็นต้น