นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การพิจารณายกเลิกหรือคงการบังคับใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จากที่จะสิ้นสุด 30 มิ.ย.63 นั้นจะพิจารณาตามความเหมาะสมเป็นหลัก เพราะการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ไม่ทำให้ผู้ใดได้ประโยชน์
ทั้งนี้ หากยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ก็สามารถใช้กฏหมายปกติเข้ามาดูแลสถานการณ์แทนได้ทั้ง พ.ร.บ.โรคติดต่อ ซึ่งเป็นกฏหมายหลักในการควบคุมการแพร่ระบาด รวมถึงกฎหมายฉบับอื่นเป็นส่วนประกอบ ทั้ง พ.ร.บ.เดินอากาศ, พ.ร.บ.สาธารณสุข, พ.ร.บ.ป้องกันบรรเทาสาธารณภัย และ พ.ร.บ.ว่าด้วยระเบียบการบริหารราชการแผ่นดิน
แต่ยอมรับว่าการใช้กฎหมายปกติคงมีช่องโหว่อยู่บ้าง จึงต้องเรียนรู้และแก้ไขปัญหาดังกล่าวด้วย หรือหากจะใช้มติ ครม.มาแก้ไขปัญหาช่องโหว่ก็ทำได้เพียงการบูรณาการเชื่อมการทำงานระหว่างจังหวัดเท่านั้น แต่จะใช้ในการกำหนดมาตราการหนัก เช่น การประกาศเคอร์ฟิวไม่ได้
อย่างไรก็ตาม หากยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แล้วสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เกิดความรุนแรงขึ้นอีก ก็สามารถประกาศใช้ใหม่ได้ ไม่ใช่เรื่องที่ยาก และยังไม่มีกฏหมายพิเศษอื่นที่จะมาดูแลสถานการณ์ในขณะนี้ได้นอกเหนือจาก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เพราะกฏหมายพิเศษอื่นทั้ง กฏอัยการศึก หรือ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ จะใช้ในกรณีที่มีเหตุการณ์ความรุนแรงด้านความมั่นคงเท่านั้น
สำหรับข้อเสนอของฝ่ายความมั่นคงให้ทดลองยกเลิกเคอร์ฟิว 15 วันตั้งแต่วันที่ 15-30 มิ.ย.นั้น นายวิษณุ กล่าวว่า ยังไม่ทราบรายละเอียดน แต่เมื่อได้ข้อสรุปจากการประชุมคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณาการผ่อนคลายการบังคับใช้มาตรการในการป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ชุดเล็กวันนี้แล้วก็จะรายงานให้นายกรัฐมนตรีให้ทราบในวันพรุ่งนี้ แต่ก็เป็นเรื่องที่ทางกฎหมายสามารถทำได้ แต่ในทางสาธารณสุขคงต้องปรึกษาบุคคลาการทางแพทย์ด้วย
ส่วนข้อเสนอให้เปิดสนามมวยแต่ไม่มีผู้ชม โดยใช้วิธีถ่ายทอดผ่านระบบออนไลน์แทนนั้น เรื่องนี้แล้วแต่คณะกรรมการฯ จะพิจารณาตามความเหมาะสม