พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม กล่าวถึงกรณีของทหารอียิปต์ที่ติดเชื้อโควิด-19 และเดินทางไปในสถานที่ต่างๆ ในจังหวัดระยองจนส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการในพื้นที่ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาจากความบกพร่องและความผิดพลาดจนนำไปสู่ความตื่นตระหนก ซึ่งความตื่นตระหนกที่เกิดขึ้นมาทั้งจากตัวบุคคลและการนำเสนอของสื่อ ดังนั้น ขอความร่วมมือให้ลดการนำเสนอในสิ่งที่ทำให้ประชาชนตื่นตระหนกไปทั่วประเทศ จนบางคนไม่กล้าเดินทางออกจากบ้าน
"ถ้าโหมกระพือกันอยู่แบบนี้ ก็เกิดแบบนี้ทุกที หรือคุณแน่ใจว่าไม่เกิดขึ้น แม้กระทั่งคนไทยด้วยกัน คุณก็เอาตรงนี้มาเป็นบทเรียนจะแก้ปัญหาได้อย่างไร" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ณ วันนี้ยังไม่เจอผู้ติดเชื้อจากกรณีดังกล่าว สื่อก็ต้องนำเสนอข้อเท็จจริงว่ายังไม่พบผู้ติดเชื้อ เพื่อให้ประชาชนมั่นใจและออกมาจับจ่ายใช้สอยใช้ชีวิตตามปกติ เพราะหากร่วมทำงานกันก็จะแก้ปัญหาได้ พร้อมย้ำว่าจะรับผิดชอบทั้งหมดด้วยการแก้ไขปัญหา เพราะต้องย้อนไปมองว่าก่อนหน้านี้ก็มีผู้ติดเชื้อในประเทศไทย แต่ก็สามารถแก้ไขและหยุดได้ เช่นเดียวกับกรณีนี้ที่เมื่อเกิดขึ้นก็ต้องหยุดให้ได้
"วันนี้เจอคนติดเชื้อหรือยัง คุณต้องบอกว่ายังไม่มีคนติดเชื้อ ใช้ชีวิตปกติ ใครสงสัยก็ไปหาหมอ ต้องทำงานแบบนี้ถึงแก้ปัญหาได้...วันนี้ผมขอท่านอย่างเดียว ยังไม่มีใครติดเชื้อ ขอให้ใช้ชีวิตปกติ ก่อนหน้านั้นก็ปกติ พอมีข่าวคนนี้มาคนหนึ่ง ประโคมกันไปกันมาเละไปหมด ผมรับผิดชอบอยู่แล้ว ถามว่าก่อนหน้านั้นมีคนติดเชื้อหรือไม่ มี แล้วเราแก้ได้ เราหยุดได้ งานนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเกิดขึ้นมันต้องหยุดให้ได้"พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า การเยียวยาไม่ใช่ทางออกเดียวที่จะแก้ไขทุกปัญหา เพราะการเยียวยาก็ต้องดูว่าจะดำเนินการให้กับใครบ้าง แต่ต้องเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะความตื่นตระหนก อีกทั้งการทำงานในลักษณะนี้ไม่ใช่สิ่งที่คิดและทำได้ทันทีทั้งหมด
เรารู้ได้อย่างไรว่ามันไม่เกิด (การแพร่ระบาด) วันนี้แพร่จากต่างประเทศ วันหน้าอาจมีในประเทศอีกก็ได้ที่ยังไม่แสดงตน เราแน่ใจได้อย่างไร อะไรเกิดขึ้นมา สอนอยู่เพียงอย่างเดียว เยียวยาๆ ผมว่ามันไม่ใช่...ถ้าถามว่าผมต้องเยียวยา ผมต้องเยียวยาใคร พ่อค้าที่ตลาดสดที่คนไม่ไปเดินอย่างนี้ใช่หรือไม่ หรือคนที่ขายไม่ได้ เพราะเขาตื่นตระหนกใช่ไหม" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
อย่างไรก็ดี นายกรัฐมนตรี ไม่ได้ตอบคำถามว่าจะลงพื้นที่เพื่อไปติดตามการแก้ปัญหาที่ จ.ระยองด้วยตนเองหรือไม่
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงสถานการณ์โควิด-19 ในระหว่างการเป็นประธานเปิดงานและแสดงปาฐกถาพิเศษเรื่อง "BCG : โมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน" ว่า เห็นใจเจ้าหน้าที่และบุคคลากรทางการแพทย์ ที่ทำงานมายาวนานหลายเดือน ซึ่งทุกคนต้องช่วยกันลดภาระการทำงานของเจ้าหน้าที่ด้วยความเข้าใจและต้องให้ความร่วมมือ และยืนยันว่า ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน ใครผิดก็ว่าไปตามผิด ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลยืนยันมาโดยตลอด
"เหนื่อยทุกวันเลย เมื่อวานถูกเครื่องบินชนมาหน่อย สายการบินทหารอียิปต์ชนมา กำลังแก้ไขกันอยู่ ไม่ต้องกังวล มันแก้ไขได้ ขอให้เชื่อมั่นระบบสาธารณสุขของเรา มันเป็นเรื่องของคนบางคนเท่านั้นเอง ระเบียบก็มี อะไรก็มี ไม่มีใครมีสิทธิพิเศษ สิทธิพิเศษคือ อนุญาตให้เข้า มีกติกา ไม่ใช่สิทธิพิเศษไม่ต้องตรวจ ไม่ต้องทำอะไร มันตรวจแล้วแต่มันดันหนีออกไปเที่ยวอีกเรื่อง ต่อไปนี้ต้องเข้มงวดทั้งไทยทั้งต่างประเทศ พวกเต้นอยู่ในผับ ในบาร์ ระวังไว้แล้วกัน ไม่เห็นค่อยกลัว หัวใจชนกันอยู่แล้ว นักข่าวกลับได้ยัง พูดตรงนี้ได้ ไปพาดหัวแล้วมั้ง ไม่ต้องคอย"พลเอกประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า นโยบายหลังโควิด-19 คือร่วมกันสร้างชาติ เพื่อพลิกฟื้นเศรษฐกิจให้กลับมา ให้เกิดความมั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน และหวังให้การลงนามในครั้งนี้ นำไปสู่ผลที่เป็นรูปธรรม ขอให้ทุกคนทำงานแต่ละด้านอย่างต่อเนื่อง ไม่เร่งรีบเกินไป และเชื่อมั่นว่าศักยภาพของทุกคน จะสามารถยกระดับการพัฒนาแต่ละด้านของประเทศได้
ขณะที่วันนี้สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว แต่ขณะเดียวกันมองว่าได้สร้างโอกาสให้กับไทยในการเป็นครัวของโลก ส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ซึ่งรัฐบาลได้เตรียมพิจารณาโครงการและแผนงานไว้แล้ว ส่วนเรื่องการผ่อนปรนนั้น หากทำเร็วเกินไปก็จะเกิดปัญหาบางส่วนได้ เช่น การรักษาระเบียบ เพราะสิ่งสำคัญที่สุด ทุกอย่างอยู่ที่คนที่ต้องร่วมมือกัน เพราะระเบียบเป็นสิ่งที่เขียนไว้เท่านั้น
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทุกคนต้องพัฒนาตัวเอง และทบทวนว่ารายได้ที่ไม่เพียงพอ เงินเดือนไม่พอ ดื่มเหล้ามากน้อยแค่ไหน หรือซื้อหวยมากไปหรือไม่ ขณะที่สื่อฯ ชอบออกข่าวทะเบียนรถนายกฯ ว่านั่งเบอร์อะไร ซึ่งตนเองก็นั่งรถเบอร์เดิม แต่ก็เห็นใจเพราะหลานคนยากจน จึงมีความหวังและเป็นความสุขของคนจน ยืนยันว่าไม่ได้ว่าใคร และไม่ได้ดูถูกคนจน เพราะรักคนจนที่สุด
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า เครียดทุกวัน เพราะมีเรื่องต้องคิดว่าจะทำอะไร จะช่วยคนไทยได้อย่างไร ซึ่งทุกคนต้องร่วมมือกัน และให้ทุกคนสัญญาว่าจะช่วยนำพาประเทศไทยไปข้างหน้า เพราะนายกรัฐมนตรีคนเดียวทำไม่ได้