นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการ ศบค.เป็นประธาน ได้เห็นชอบตามข้อเสนอของสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ในการขยายเวลาบังคับใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ออกไปอีก 1 เดือน ตั้งแต่วันที่ 1-30 ก.ย.63 จากที่จะสิ้นสุดในวันที่ 31 ส.ค.นี้
โดยเหตุผลที่ต้องขยายเวลา พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ในทุกเขตท้องที่ต่ออีก 1 เดือน เนื่องจากประเมินแล้วเห็นว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในภาพรวมทั่วโลกยังอยู่ในความเสี่ยงสูง และมีคนไทยและคนต่างชาติหลายกลุ่มจากต่างประเทศ เดินทางกลับเข้ามาในประเทศอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ภายในประเทศเอง ได้มีการผ่อนคลายกิจการ/กิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การเปิดโรงเรียน, สถาบันการศึกษา, มหาวิทยาลัย และสถาบันกวดวิชาได้ตามปกติ, การอนุญาตให้มีการแข่งขันกีฬาแบบมีผู้เข้าชมได้ และการให้ขนส่งสาธารณะมีจำนวนผู้โดยสารได้เต็มความจุดตามมาตรฐาน
"การที่ ศบค.ชุดใหญ่เห็นชอบให้ต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ออกไปอีก 1 เดือนนั้น เป็นเพราะผ่านการตัดสินใจจากการทำงานร่วมกันของทุกกระทรวงแล้ว ซึ่งได้นำเสนอเป็นลำดับขึ้นขึ้นมาเพื่อให้ขยายเวลาไปอีก 1 เดือน...การมี พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ไม่ได้ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันต้องเปลี่ยนไป ไม่มีการประกาศเคอร์ฟิว กิจการร้านค้าสามารถกลับมาเปิดได้ตามปกติ เพียงแต่ต้องเป็นในรูปแบบของ New Normal" นพ.ทวีศิลป์ระบุ
พร้อมกันนี้ ที่ประชุม ศบค.ยังได้เห็นชอบการผ่อนคลายกิจการ/กิจกรรมที่มีความเสี่ยงสูง ซึ่งเป็นไปตามการเสนอของคณะกรรมการเฉพาะกิจพิจารณามาตรการผ่อนคลายการบังคับใช้กฎหมายเพื่อป้องกันและยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) เมื่อวันที่ 7 ส.ค.63 ซึ่งเห็นควรให้ผ่อนคลายกิจการ/กิจกรรม ทั้งในส่วนของสถาบันการศึกษาที่กลับมาเปิดเรียนตามปกติ, อนุญาตการแข่งขันกีฬาแบบมีผู้เข้าชม และให้การขนส่งสาธารณะมีจำนวนผู้โดยสารเต็มตามความจุมาตรฐาน ซึ่งได้เริ่มทดลองไปตั้งแต่วันที่ 13 ส.ค.ที่ผ่านมาแล้ว
สำหรับแนวทางการจัดการแข่งขันกีฬาแบบมีผู้เข้าชมได้นั้น ทางศบค.ไม่ได้มีการกำหนดจำนวนผู้เข้าชมในสนามไว้อย่างตายตัว เพียงแต่กำหนดจำนวนผู้เข้าชมเป็นสัดส่วนต่อความจุของสนาม โดยประเภทกีฬาที่มีความเสี่ยงต่ำ คือ กีฬากลางแจ้งและไม่มีการตะโกนเชียร์ ซึ่งก็จะอนุญาตให้มีผู้เข้าชมได้ 70% ของความจุสนาม เช่น กอล์ฟ เทนนิส ยิงธนู ยิงปืน เป็นต้น ส่วนประเภทกีฬาที่มีความเสี่ยงสูง คือ กีฬาในร่มและมีการตะโกนเชียร์ ก็จะอนุญาตให้มีผู้เข้าชมได้เพียง 25% ของความจุสนาม เช่น บาสเก็ตบอล, วอลเลย์บอล และมวย เป็นต้น
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวด้วยว่า ที่ประชุม ศบค.ยังรับทราบความคืบหน้าการพัฒนาและผลิตวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ว่า ขณะนี้การดำเนินงานของไทยยังอยู่ในขั้นก่อนการทดสอบในมนุษย์ ขณะที่หลายประเทศ เช่น อังกฤษ, รัสเซีย, จีน, เยอรมนี และสหรัฐอเมริกา ได้เข้าสู่ขั้นตอนการทดสอบในมนุษย์แล้ว อย่างไรก็ดี ประเทศไทยได้วางแนวทางการดำเนินงานในเรื่องของวัคซีนไว้ ดังนี้ 1.เตรียมการผลิตโดยรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากผู้ผลิตต่างประเทศ 2.การสั่งซื้อ/จองวัคซีนจากผู้ผลิตทุกแหล่งที่เป็นไปได้ 3.สนับสนุนการวิจัยในประเทศและร่วมมือกับต่างประเทศ
ทั้งนี้ คาดว่าประเทศไทยจะได้วัคซีนสำหรับเริ่มทดสอบในมนุษย์ 10,000 โดสแรกในช่วงเดือนพ.ย.63-ม.ค.64 และจะได้ผลการทดสอบวัคซีนในมนุษย์ระยะที่ 1/2 ในช่วงกลางปี 64 ซึ่งหากประสบผลสำเร็จในการทดสอบและได้รับการขึ้นทะเบียนแล้ว คาดว่าไทยจะสามารถผลิตวัคซีนใช้เองในประเทศได้ราวต้นปี 65