นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข กล่าวภายหลังหารือกับ ศ.นพ.เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม ผู้อำนวยการบริหารโครงการพัฒนาวัคซีนโควิด 19 ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงกระบวนการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 ของประเทศไทยในช่วงเวลาที่ผ่านมาว่า รัฐบาลได้จัดสรรงบเพื่อการค้นคว้าวิจัยวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามที่กระทรวงสาธารณสุข ได้เสนอของบกลางเพื่อพัฒนาวัคซีนต้นแบบในประเทศ และเตรียมความพร้อมรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตให้สถาบันวัคซีนแห่งชาติ 1,000 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเพื่อการเตรียมความพร้อมในการรับถ่ายทอดเทคโนโลยี อีกส่วนหนึ่งจะสนับสนุนแก่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่มีความคืบหน้ามาระดับหนึ่งแล้ว
"รัฐบาลให้คำยืนยันว่า จะดำเนินการทุกวิถีทางที่จะทำให้คนไทยเข้าถึงวัคซีนโควิด 19 ได้เร็วที่สุด และในจำนวนที่เหมาะสม กระทรวงสาธารณสุขไม่ได้จัดสรรให้เฉพาะงบประมาณ แต่ได้มอบหมายให้ อย. และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ทุ่มเท สนับสนุน ร่วมมือเรื่องนี้เต็มที่ ถ้าพิสูจน์ชัดเจนว่าวัคซีนปลอดภัย ต้องผ่านเพื่อนำไปสู่การทดลองต่อโดยเร็วที่สุด" นายอนุทิน กล่าว
ด้านศ.นพ.เกียรติ กล่าวว่า งบประมาณที่ได้รับการสนับสนุนจะนำมาดำเนินงานโครงการพัฒนาวัคซีน mRNA รวมถึงการผลิตวัคซีน 10,000 โด๊ส สำหรับทดสอบในอาสาสมัครระยะที่ 1 – 2 ในกรอบวงเงินจำนวน 400 ล้านบาทนั้น จะเป็นประโยชน์อย่างมากที่จะให้การทำงานขับเคลื่อนไปข้างหน้า ในขณะที่ภาพใหญ่ของโลกมีวัคซีน 7 ชนิดที่เข้าสู่การทดลองระยะที่ 3 คือประเทศจีน อเมริกา อังกฤษ เชื่อว่าอย่างน้อยต้นปีหน้าจะมีวัคซีน 1 ชนิดที่เข้าเส้นชัย จะทำให้ทราบว่าภูมิคุ้มกันของวัคซีนจะต้องสูงระดับใด เพื่อนำมาเป็นข้อมูลสำหรับพัฒนาวัคซีนไทย เมื่อทราบระดับภูมิคุ้มกันที่จะทดลองในอาสาสมัครไทยแล้ว คาดว่าจะผลิตในโรงงานของไทยได้ภายในไตรมาส 3 หรือ 4 ปีหน้า คือ ไบโอเนทเอเชียที่รับถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศ
เมื่อได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 9 เดือน ไทยก็จะสามารถผลิตวัคซีนได้เอง ขณะนี้อยู่ระหว่างการส่งข้อมูลให้อย. ตรวจสอบความปลอดภัย การเสนอคณะกรรมการจริยธรรม คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย การเตรียมโรงงานสำหรับผลิตวัคซีน 10,000 โด๊ส เตรียมทีมแพทย์ พยาบาล เภสัชกรรม ห้องปฏิบัติการ
เมื่อกระบวนการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย จึงจะประกาศรับอาสาสมัครทดลองวัคซีน คาดว่าจะประมาณเดือนธันวาคม 2563 โดยจะเร่งในระยะที่ 1 -2 ก่อนคือดูขนาดที่เหมาะสมในคนที่อายุไม่มาก 18 – 55 ปี จำนวน 48 คน เมื่อปลอดภัย จะทดลองในคนอายุ 65 – 75 ปี อีก 48 คน และขนาดที่เหมาะสมสำหรับคนไทย และจะทดลองในระยะที่ 2 อีก 300 คน ถ้าในต้นปีหน้ามีวัคซีนต่างประเทศที่สำเร็จ ไทยอาจไม่ต้องทดลองในระยะที่ 3 เพราะรู้ว่าภูมิจะต้องสูงเท่าไร หากระยะที่ 2 มีภูมิคุ้มกันเท่ากับวัคซีนที่ต่างประเทศผลิตสำเร็จ อย.อาจรับรองให้ผลิตได้ 30 ล้านโด๊ส หรือเท่ากับจำนวนที่โรงงานเราสามารถผลิตได้
"ประเทศไทยทำถูกแล้ว ที่ได้เตรียมตัวทั้งการเตรียมการจัดหาวัคซีนจากต่างประเทศ การต่อรองเพื่อรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีของวัคซีนเพื่อให้สามารถผลิตในประเทศไทย รวมทั้งการให้ทุนสนับสนุนและส่งเสริมการคิดค้นและพัฒนาวัคซีนภายในประเทศ" ศ.นพ.เกียรติ กล่าว