นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า ขอความร่วมมือผู้ประกอบการให้ชะลอการนำแรงงานต่างด้าวจากพื้นที่ที่มีการระบาดของไวรัสโควิด-19 เข้ามาในประเทศด้วย โดยขอให้รอสถานการณ์ดีขึ้นกว่านี้และมีความมั่นใจมากกว่านี้ก่อนจึงค่อยกลับไปจ้างแรงงานต่างด้าวได้ตามปกติ
โดยล่าสุด ในรัฐยะไข่ ประเทศเมียนมาได้พบการระบาดของไวรัสโควิดแล้ว และมีการประกาศเคอร์ฟิวตั้งแต่เวลา 21.00 -04.00 น. รวมทั้งให้ประชาชนทำงานอยู่ที่บ้าน แต่ทั้งนี้การระบาดดังกล่าวในเมียนมาไม่เรียกว่าเป็นการระบาดรอบสอง เพราะเป็นเพียงการระบาดใหม่ที่เกิดขึ้นในรัฐยะไข่เท่านั้น
นพ.โสภณ ยอมรับว่า ไทยและเมียนมามีพรมแดนทางบกติดต่อกันหลายร้อยกม. ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะควบคุมและเฝ้าระวังการลักลอบข้ามแดน เพราะแม้จะมีด่านควบคุมโรคอยู่ แต่ก็ยังมีการลักลอบเข้ามาทางด่านธรรมชาติ ซึ่งทำให้ฝ่ายความมั่นคงจำเป็นต้องเพิ่มความเข้มงวดและเพิ่มความถี่ในการตรวจตราให้มากขึ้น เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้มีการลักลอบข้ามแดนจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาในไทย
นอกจากนี้ ต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ตามด่านพรมแดนไทยที่ติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเข้มงวดด้วยเช่นกัน โดยป้องกันการลักลอบเข้าเมืองอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุให้มีการติดเชื้อข้ามพรมแดนขึ้นได้
ส่วนกรณีที่ระยะหลังเริ่มมีคนไข้จากต่างประเทศที่เดินทางเข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลของไทยมากขึ้น ซึ่งอาจทำให้เกิดความวิตกกังวลว่าชาวต่างชาติเหล่านี้จะนำเชื้อโควิดมาแพร่ระบาดในประเทศหรือไม่นั้น นพ.โสภณ กล่าวว่า ในกรณีนี้ได้มีข้อกำหนดที่เป็นแนวทางปฏิบัติอย่างเคร่งครัดสำหรับชาวต่างชาติที่ต้องการเดินทางเข้ามารับการรักษาโรคในไทย ว่าจะต้องไม่ใช่ผู้ป่วยที่มีโรคติดต่อหรือมีความเสี่ยง แต่จะรับรักษาผู้ป่วยในกรณี เช่น โรคมะเร็ง โรคไม่ต่อต่อเรื้อรัง (NCDs) และการรักษาผู้มีบุตรยาก เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่เดินทางมาจากประเทศที่มีการระบาดน้อย หรือสามารถควบคุมการระบาดได้แล้ว
"ผู้ป่วยเหล่านี้ ก่อนจะมาไทยต้องตรวจหาเชื้อก่อนเดินทางใน 72 ชม. พอมาถึงแล้วจะมีรถรับตัวไปยัง รพ.ทันทีเพื่อตรวจหาเชื้อตั้งแต่วันแรก และจะมีการตรวจซ้ำอีก 2 ครั้งหลังจากนั้น หากพบว่าติดเชื้อจริง ก็เท่ากับว่าเป็นการพบตั้งแต่ระยะแรกๆ ซึ่งจะทำให้ป้องกันโรคได้ดีกว่าพบระยะท้ายๆ...คนไข้ที่มารับบริการทางการแพทย์ทั้งหมดนี้ ยังไม่พบว่ามีการเข้ามาแพร่เชื้อไปยังบุคคลอื่นในประเทศ" นพ.โสภณระบุ
นพ.โสภณ กล่าวว่า จากสถานการณ์ที่หลายประเทศพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มมากขึ้นในระยะนี้ เช่น สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา อเมริกาใต้ รวมทั้งในเอเชีย ตลอดจนการระบาดระลอกสองในญี่ปุ่น และเกาหลีใต้นั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่คนไทยทุกคนต้องปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดอย่างเข้มงวด ทั้งในเรื่องการใส่หน้ากากอนามัย ล้างมือบ่อยๆ การเว้นระยะห่าง เลี่ยงการเข้าไปในพื้นที่แออัด และการใช้บริการแอปพลิเคชั่นไทยชนะ ซึ่งเป็นระบบติดตามและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดที่มีประสิทธิภาพ ทำให้จนถึงทุกวันนี้ประเทศไทยไม่มีรายงานผู้ติดเชื้อภายในประเทศเป็นเวลานานกว่า 3 เดือนแล้ว
ด้านนายกฤติยา ก้อนทอง รองผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ยืนยันว่า สนามบินมีการปฏิบัติตามแนวทางการให้บริการผู้โดยสารในเส้นทางการบินระหว่างประเทศอย่างเคร่งครัด มีมาตรการคัดกรองที่เข้มงวดนับตั้งแต่เครื่องบินลงจอดที่ท่าอากาศยาน ซึ่งจะมีหลุมจอดแยกเป็นการเฉพาะ จากนั้นเป็นกระบวนการนำผู้โดยสารเข้าสู่ระบบการคัดกรองที่ด่านควบคุมโรคติดต่อระหว่างประเทศ การตรวจรับกระเป๋า และพาขึ้นรถไปยังสถานที่กักตัวที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) โดยขอให้มั่นใจได้ว่าทุกคนที่เดินทางมาจากต่างประเทศจะไม่มีใครได้รับอภิสิทธิ์หรือได้รับการยกเว้นไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจคัดกรองโรคที่สนามบินก่อนที่จะเข้าสู่สถานที่พักใน State Quarantine อย่างแน่นอน
"ผู้โดยสารที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรทุกคนจะไม่มีใครได้รับอภิสิทธิ์ หรือยกเว้นไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการคัดกรอง เรามีเจ้าหน้าที่กำกับดูแลผู้โดยสารที่เข้ามาแทบจะทุกย่างก้าว ตั้งแต่กำหนดหลุมจอดเครื่องบิน กำหนดเส้นทางเดินในสนามบิน ตั้งแต่ประตูเครื่องบินจนส่งขึ้นรถเพื่อไป State Quarantine เราไม่มีการยกเว้น ไม่มีใครได้รับอภิสิทธิ์ ทั้ง 11 กลุ่มที่เดินทางเข้ามาต้องเข้าสู่ State Quarantine" นายกฤติกา ระบุ