นพ.ธนรักษ์ ผลิพัฒน์ รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ในช่วงกลางเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่รัฐยะไข่ ประเทศเมียนมา ซึ่งอยู่ใกล้กับประเทศอินเดียและบังคลาเทศที่มีอัตราการป่วยเพิ่มขึ้นมา ส่งผลให้ในประเทศเกิดการตื่นตัวมากขึ้น และเชื่อว่าจำนวนผู้ป่วยจริงจะสูงกว่าที่ได้รับรายงาน เพราะการวินิจฉัยโรคต้องมาจากผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาเท่านั้น โดยสิ่งที่น่ากังวลคือการเดินทางเข้าตามแนวชายแดน
"ถ้าเมียนมาสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ดี สามารถจัดการกับการแพร่ระบาดได้ เราคงสบายใจได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าคุมไม่ได้เราก็ต้องตื่นตัวต่อเนื่อง เพราะมีชายแดนที่ยาวมากตั้งแต่ระนองขึ้นไปจรดเชียงราย" นพ.ธนรักษ์ กล่าว
โดยจะต้องมีการเฝ้าระวังตามแนวชายแดน เพราะขณะนี้ยังไม่มีการเปิดด่าน ดังนั้นจึงเป็นการลักลอบเข้าประเทศ ซึ่งจะต้องมีการดูแลตั้งแต่จังหวัดต้นทางและจังหวัดปลายทาง ทั้งฝ่ายปกครอง ฝ่ายมั่นคง ฝ่ายสาธารณสุข เอกชน และอาสาสมัครสาธารณสุขต่างด้าว
"ทุกฝ่ายต้องหยุดการนำแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมายเข้าเมืองในช่วงนี้ แรงงานต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมายไม่ได้หรอก ถ้าเกิดคนไทยไม่เป็นคนชักชวนและนำเข้ามา ต้องเข้าใจสถานการณ์และช่วยกันเป็นหูเป็นตาสอดส่อง เพราะจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้ประเทศ" นพ.ธนรักษ์ กล่าว
ทั้งนี้เคยมีบทเรียนที่เกิดขึ้นในประเทศออสเตรเลีย เนื่องจากโรงแรมที่กักตัวไม่มีระบบจัดการที่ดี โดยมีคนติดเชื้อเข้าประเทศเพียงแค่ 4 ราย แล้วก่อให้เกิดการระบาดใหญ่ไปถึง 3,183 ราย ขณะที่เหตุการณ์ในประเทศนิวซีแลนด์และเวียดนามที่กลับมาเจอผู้ป่วยอีกครั้งหลังจากไม่เจอผู้ป่วยเกือบ 100 วัน ดังนั้นการเตรียมความพร้อมจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะเมื่อพบผู้ป่วยจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี
"การกลับมาเจอผู้ป่วยรายใหม่สามารถเกิดขึ้นได้ ถ้าเราจัดการกับสถานการณ์อย่างเต็มที่และเหมาะสมก็สามารถนำสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติได้" นพ.ธนรักษ์ กล่าว