ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) รายงานสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในประเทศวันนี้ว่า พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อรายใหม่ 6 ราย เป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ และเข้าพักในสถานที่กักกันที่รัฐจัดให้ (State Quarantine) โดยเดินทางมาจากสหรัฐอเมริกา 2 ราย สหราชอาณาจักร 1 ราย และสิงคโปร์ 3 ราย ส่งผลให้มีผู้ป่วยยืนยันสะสมล่าสุดอยู่ที่ 3,444 ราย
โดยผู้ที่เดินทางมาจากสหรัฐอเมริกา 2 ราย ทั้งหมดเป็นหญิงไทยอายุ 46 และ 83 ปี อาชีพแม่บ้าน เดินทางมาถึงไทยเมื่อวันที่ 31 ส.ค.63 เข้าพัก State Quarantine ใน กทม.และตรวจหาเชื้อครั้งที่ 1 ในวันที่ 4 ก.ย.63 ผลตรวจพบเชื้อ ทั้งหมดไม่มีอาการ
ส่วนผู้ที่เดินทางมาจากสหราชอาณาจักร 1 ราย เป็นชายสัญชาติฝรั่งเศส อายุ 46 ปี อาชีพครูสอนภาษาในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง เดินทางมาถึงไทยเมื่อวันที่ 1 ก.ย.63 เข้าพัก Alternative State Quarantine ใน กทม.และตรวจหาเชื้อครั้งที่ 1 ในวันที่ 4 ก.ย.63 ผลตรวจพบเชื้อ ไม่มีอาการ
ขณะที่ผู้ที่เดินทางมาจากสิงคโปร์ 3 ราย ทั้งหมดเป็นชายไทยอายุ 43 และ 56 ปี อาชีพรับจ้าง และ 53 ปี อาชีพธุรกิจส่วนตัว เดินทางมาถึงไทยเมื่อวันที่ 4 ก.ย.63 โดยผ่านการคัดกรองณ ด่านควบคุมโรค พบว่าเคยมีประวัติป่วยโรคโควิด-19 ก่อนเดินทางกลับมาไทย จึงเก็บตัวอย่างหาเชื้อในวันที่ 4 ก.ย.63 ผลตรวจพบเชื้อ ทั้งหมดไม่มีอาการ
สำหรับวันนี้มีผู้ป่วยรักษาหาย 2 ราย ส่งผลให้มีจำนวนผู้ป่วยรักษาหายแล้วอยู่ที่ 3,281 ราย และยังมีผู้ป่วยรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล 105 ราย ขณะที่ไม่มีผู้เสียชีวิตเพิ่มทำให้ยอดผู้เสียชีวิตสะสมยังคงเดิมที่ 58 ราย
ขณะที่สถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ทั่วโลก มียอดผู้ติดเชื้อใหม่ 277,309 ราย ส่งผลให้มียอดติดเชื้อสะสมรวม 27,061,326 ราย และเสียชีวิตเพิ่ม 4,942 ราย ส่งผลให้มียอดผู้เสียชีวิตแล้วรวม 883,707 ราย โดยประเทศที่มีผู้ติดเชื้อสะสมสูงสุด คือ สหรัฐอเมริกา 6,431,152 ราย เสียชีวิตแล้ว 192,คๅค ราย ตามด้วยบราซิล 4,123,000 ราย เสียชีวิต 126,230 ราย, อินเดีย 4,110,839 ราย เสียชีวิต 70,679 ราย, รัสเซีย 1,020,310 ราย เสียชีวิต 17,759 ราย และ เปรู 683,702 ราย เสียชีวิต 29,687 ราย โดยผู้ติดเชื้อใหม่ของอินเดียทำสถิติสูงสุด 90,600 ราย
ส่วนประเทศในเอเซียที่พบผู้ป่วยต่อเนื่อง ได้แก่ อินเดีย บังคลาเทศ ปากีสถาน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น และเมียนมา โดยไทยอยู่ในอันดับที่ 122 มียอดผู้ติดเชื้อสะสม 3,444 ราย โดยวันนี้จะมีเที่ยวบินนำคนไทยที่ตกค้างเดินทางกลับมาจากอินเดีย (นิวเดลี) 48 ราย และวันพรุ่งนี้เดินทางกลับมาจากกาตาร์ (โดฮา) 162 ราย
นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวว่า ระหว่างวันที่ 4-5 ก.ย.ที่ผ่านมา ทีมสอบสวนโรคได้ติดตามและตรวจหาเชื้อในกลุ่มเสี่ยงที่ใกล้ชิดกับผู้ต้องขังติดเชื้อโควิด 19 ทั้งที่พักอาศัยและร้านอาหาร 3 แห่งไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามได้แนะนำให้ทุกคนกักตัวเพื่อเฝ้าระวังอาการอยู่ที่บ้านเป็นเวลา 14 วันนับจากวันที่พบผู้ต้องขังรายนี้ครั้งสุดท้าย หากมีอาการป่วย มีไข้ มีอาการระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ มีเสมหะ หรือจมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ให้รีบไปโรงพยาบาลของรัฐเพื่อตรวจหาเชื้อซ้ำ และเข้าสู่ระบบการรักษาทันที
แม้ขณะนี้ยังไม่พบรายงานการติดเชื้อในกลุ่มผู้สัมผัส แต่ขอให้ประชาชนยังคงรักษามาตรการป้องกันตัวเองอย่างต่อเนื่อง ด้วยการสวมหน้ากากอนามัย/หน้ากากผ้า ตลอดเวลาที่อยู่นอกบ้าน ล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการนำมือมาสัมผัสบริเวณใบหน้า ตา จมูกปาก เว้นระยะห่างระหว่างผู้อื่น 1-2 เมตร หลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่แออัด คนรวมกันจำนวนมาก รับประทานอาหารร้อน ใช้ช้อนกลางส่วนตัว เพื่อลดความเสี่ยงในการสัมผัสและแพร่เชื้อสู่ผู้อื่น ที่สำคัญคือลงทะเบียน เข้า-ออก สถานที่ที่ใช้บริการผ่านแพลตฟอร์มและแอปพลิเคชัน "ไทยชนะ" ทุกครั้ง เพราะเมื่อพบผู้ติดเชื้อจะง่ายต่อการติดตามผู้ที่มีความเสี่ยงเข้าสู่ระบบการเฝ้าระวังอาการและควบคุมโรคต่อไป
ทั้งนี้จากการสอบสวนโรค จากประวัติผู้ป่วย จากบุคคลและสถานที่ที่เกี่ยวข้อง พบข้อควรระมัดระวัง ได้แก่ ไม่คัดกรองอุณหภูมิ, ไม่สวมหน้ากากอนามัย, ไม่เว้นระยะห่าง, ใช้แก้วร่วมกัน และละเลยการลงทะเบียนแอปพลิเคชั่นไทยชนะ โดยผู้สัมผัสผู้ป่วยในเรือนจำฯ ทั้งหมด 970 ราย แยกเป็นผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 119 ราย ได้แก่ คนในครอบครัว 6 ราย, ศาลอาญา 14 ราย, ทัณฑสถานพิเศษกลาง 60 ราย เป็นเจ้าหน้าที่ 24 ราย และผู้ต้องขัง 36 ราย, เรือนจำพิเศษกรุงเทพที่เป็นผู้ต้องขังนั่งรถคันเดียวกัน 8 ราย, ร้านอาหาร 3 วัน 2 คืน สาขาพระราม 3 จำนวน 4 ราย เป็นพนักงาน 3 ราย และลูกค้า 1 ราย, ร้านอาหาร 3 วัน 2 คืน สาขาพระราม 5 เป็นพนักงาน 25 ราย, ร้านเฟิร์สคาเฟ่ 2 ราย และมีผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำอีก 851 ราย ซึ่งมีการตรวจทางห้องปฏิบัติการแล้ว 516 ราย ไม่พบเชื้อ 512 ราย รอผล 3 ราย และอยู่ระหว่างติดตามอีก 1 ราย