นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชี้แจงกรณีการจ่ายเบี้ยยังชีพผู้พิการและผู้สูงอายุล่าช้าว่า ปัญหาการจ่ายเบี้ยยังชีพล่าช้า ไม่ใช่เพราะงบประมาณไม่เพียงพอ แต่เป็นที่ระบบการชำระเงิน และจำนวนบุคคลที่เพิ่มขึ้น ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งแก้ไขปัญหาแล้ว และยืนยันจะได้รับเงินภายในเดือนก.ย.นี้ อย่างแน่นอน
ตามปกติแล้วเบี้ยยังชีพต่าง ๆ ได้ตั้งงบประมาณไว้ในปี 63 โดยอ้างอิงตัวเลขจากข้อมูลในเดือนก.พ.62 แต่ในปีนี้มีผู้พิการและผู้สูงอายุลงทะเบียนขอรับสิทธิเบี้ยยังชีพเพิ่มขึ้น โดยมีผู้พิการลงทะเบียนเพิ่มขึ้นประมาณ 265,000 ราย และผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นประมาณ 184,000 ราย ดังนั้นจึงทำให้จ่ายเงินได้ไม่ครบตามจำนวนบุคคล เพราะข้อมูลมีการเปลี่ยนแปลง ประกอบกับมีการปรับระบบจ่ายเบี้ยยังชีพในปี 2563 เป็นแบบ E-Payment (อีเพย์เมนต์) ทำให้มีประชาชนได้รับเงินเข้าบัญชีโดยตรง 80% แต่อีก 20% ขอรับเป็นเงินสด ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) รับผิดชอบดำเนินการ และได้รับการจัดสรรงบประมาณในส่วนนี้แล้ว
โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึงการเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 ที่ไม่ทันในวันที่ 1 ต.ค.นี้ว่า เนื่องจากกระบวนการผ่านงบประมาณฯ จะเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาวาระ 2-3 ในวันที่ 16-18 ก.ย.นี้ ดังนั้นอาจจะล่าช้าไปประมาณ 1 สัปดาห์ แต่สำนักงบประมาณจะนำเรื่องนี้มาหารือ และแจ้งต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันพรุ่งนี้ (15 ก.ย.) ว่าจะต้องใช้งบประมาณในปี 2563 ไปพลางก่อน
ส่วนกรณีที่มีงานวิจัย ระบุว่าอาจมีการลดการจ้างงานในส่วนของภาคธุรกิจการท่องเที่ยวและธุรกิจการค้าปลีกค้าส่งนั้น นายอนุชา ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง เนื่องจากได้สอบถามจากต้นสังกัดที่ทำงานวิจัยดังกล่าวแล้ว พบว่าเป็นข้อมูลจากการคาดการณ์เมื่อเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา โดยอ้างอิงจากการคาดคะเนตัวเลข GDP และผลกระทบของภาคเศรษฐกิจในช่วงเวลานั้น ซึ่งไม่ใช่ข้อมูลล่าสุด
"จะนำงานวิจัยนี้มาอ้างอิงไม่ได้ เพราะอาจคลาดเคลื่อน เนื่องจากปัจจุบันรัฐบาลได้ออกมาตรการช่วยเหลือและกระตุ้นเศรษฐกิจหลายมาตรการ รวมถึงมีแผนงานจ้างงานเด็กจบใหม่ด้วย" นายอนุชา ระบุ