พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวว่า การประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค.ชุดใหญ่ ในวันที่ 28 ก.ย.นี้ จะมีการพิจารณาว่าจะขยายเวลาการประกาศใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินที่จะครบกำหนดในวันที่ 30 ก.ย.นี้ออกไปอีก 1 เดือนหรือไม่
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ทุกคนรู้ดีว่าการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มีจุดประสงค์ใด โดยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในขณะนี้ยังเกิดขึ้นทั่วโลก รวมไปถึงประเทศเพื่อนบ้านของเรา แต่สถานการณ์ในไทยยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ได้รับคำชื่นชมจากต่างประเทศ และนำบทเรียนจากประเทศไทยไปเป็นแนวทางในการปฏิบัติ ทั้งนี้ได้กำชับให้มีมาตรการป้องกันการลักลอบข้ามแดนตามแนวชายแดนทั้งทางบกและทางน้ำ และให้เข้มงวดมาตรการต่างๆต่อไป
ส่วนการเปิด-ปิดน่านฟ้าของไทยนั้น นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ยังต้องมีการหารือกันต่อไป โดยต้องคำนึงถึงสถานการณ์ทางเศรษฐกิจว่าจะสามารถผ่อนคลายเรื่องใดบ้าง โดยเฉพาะกลุ่มนักธุรกิจที่ต้องเข้ามาดูแลกิจการในไทยที่อาจจะเข้ามาในระยะเวลาสั้นๆ จึงต้องหาแนวทางว่าจะดูแลกลุ่มนี้อย่างไร
ขณะที่กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะเข้ามาในอนาคตก็ต้องเตรียมมาตรการรองรับไว้ด้วย โดยเฉพาะสถานที่กักตัว ซึ่งรัฐบาลได้ทำงานเชิงรุก ไม่ได้เป็นการแก้ปัญหารายวัน จึงต้องคิดแผนงานไว้ล่วงหน้า และทำงานบูรณาการร่วมกัน เป็นการทำงานที่สอดคล้องกับการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เหมือนกับหลายประเทศที่ใช้ล็อคดาวน์อยู่เช่นกัน เพราะกฎหมายปกติไม่สามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดได้ โดยมาตรการทั้งหมดจะมีการชี้แจงภายหลังประชุมในวันจันทร์นี้
นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงข้อเสนอให้ลดระยะเวลากักตัวจาก 14 วัน เหลือ 7 วัน โดยมีการตรวจหาเชื้อแบบเข้ม 2 ครั้ง เมื่อกักตัวครบกำหนด หากไม่พบเชื้อ นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปที่ไหนก็ได้นั้น ขณะนี้ยังไม่ได้มีการพูดถึงจำนวนของวัน แต่ต้องไปหาวิธีการว่าผู้ที่เดินทางเข้ามานั้น มาเพื่อภารกิจใด เช่น ถ้าเป็นนักธุรกิจที่เข้ามาระยะสั้น อาจจะทำเช่นเดียวกับกรณีของผู้บัญชาการทหารบกสหรัฐฯ ที่มีทีมเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและฝ่ายความมั่นคงคอยดูแลติดตามตลอด เรื่องนี้จะต้องวางแผนเพื่อเป็นการเตรียมรับมือ แต่สิ่งสำคัญคือประชาชนจะต้องเข้าใจ ถ้าไปปลุกระดมให้ไม่เข้าใจกันหรือปฏิเสธกันไปหมด ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
สิ่งสำคัญอยากให้ทุกคนมั่นใจในระบบสาธารณสุขของไทย และการทำงานของเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบคัดกรองและป้องกันการแพร่ระบาด ถ้าหากไม่สามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้เลยก็จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยเฉพาะผู้ที่มีรายได้น้อยที่เดือดร้อน รัฐบาลจึงจำเป็นต้องดูแลทั้งด้านสุขภาพและการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ