นายเอกภพ เมฆกัลจาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการบริหาร บล.แอลจีที (ประเทศไทย) (LGT) เปิดเผยว่า แอลจีที คาดการณ์ตลาดหุ้นทั่วโลกช่วง 2-4 สัปดาห์ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 3 พ.ย.นี้ น่าจะปรับตัวลง จากการเทขายในช่วงของความไม่แน่นอนของตลาด และหลังการเลือกตั้งในวันที่ 4-5 พ.ย.63 ตลาดจะยังมีความผันผวนอยู่ ก่อนปรับตัวขึ้นหลังได้ความชัดเจนของผลการเลือกตั้ง ซึ่งทำให้ตลาดคลายความกังวลลง รวมถึงรัฐบาลใหม่ก็มักจะเริ่มต้นด้วยการจับจ่ายทางการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ
"แม้ว่าในช่วงสั้นๆ เรามองว่า 2-4 สัปดาห์ตลาดจะปรับตัวลงก่อนการเลือกตั้งสหรัฐฯ แต่ในระยะยาวคิดว่าตลาดน่าจะมีการปรับตัวขึ้นต่อไปได้ จากแรงกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามา"นายเอกภพ กล่าว
ทั้งนี้ แอลจีที มอง 3 แนวทางที่อาจเกิดขึ้นจากการเลือกตั้งของสหรัฐฯ 1.คลื่นสีฟ้า หรือพรรคเดโมเครต ชนะทั้งในทำเนียบขาวและสภาครองเกรส ซึ่งนายโจ ไบเดน มีนโยบายลดภาษีสำหรับชนชั้นกลาง ขึ้นภาษีสำหรับชาวอเมริกันที่มีรายได้สูง และธุรกิจการใช้จ่ายโดยรวมเพิ่มขึ้น รวมถึงใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือการใช้จ่ายของรัฐบาล เพื่อให้เศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้น
2.สภาที่มีเสียงก้ำกึ่งกัน หรือไม่มีพรรคใดชนะ ซึ่งคล้ายกับปัจจุบันนี้ โดยการดำเนินนโยบายน่าจะเหมือนเดิม ซึ่งตลาดในอดีตชอบแบบนี้มากกว่าเพราะไม่มีการเปลี่ยนแปลง 3. พรรครีพับลิกัน ชนะการเลือกตั้ง ซึ่งการดำเนินนโยบายก็จะเป็นนโยายของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ทำในช่วงที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ตลาดกำลังจับตาดูความเป็นไปได้มากที่สุดของ 3 แนวทางดังกล่าว ผ่านการสำรวจความคิดเห็นต่างๆ ซึ่งในเบื้องต้นตลาดมองว่าแนวทางแรก หรือ คลื่นสีฟ้า น่าจะมีความเป็นไปได้มากที่สุด และเริ่มให้ความสำคัญมากขึ้น ส่วนปัจจัยที่คนอเมริกันให้ความสำคัญในการตัดสินใจว่าจะเลือกใครเป็นประธานาธิบดี ประกอบด้วยเรื่องการพัฒนาเศรษฐกิจ, นโยบายสาธารณสุข และการจัดการโควิด-19 ซึ่งในอดีตคนส่วนใหญ่มองว่าพรรครีพับลิกันสามารถจัดการได้ดีกว่า แต่มุมมองในปัจจุบันเริ่มเปลี่ยนไป เนื่องด้วยพรรคเดโมเครตก็สามารถจัดการทั้ง 3 เรื่องดังกล่าวได้ดีเท่าๆ กัน
นายเอกภพ กล่าวว่า แนะนำการจัดพอร์ตการลงทุนในช่วงก่อนและหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ โดยให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนไปยังหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี, กลุ่มธุรกิจสื่อสาร (COMMUNICATION SERVICE) เนื่องด้วยทั้งสองกลุ่มนี้ยังมีผลประกอบการที่ดี หรือปรับตัวเป็นบวก รวมถึงกลุ่มเฮลธ์แคร์ เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังคงส่งผลให้มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้น และการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ขณะเดียวกันก็ให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุนไปในทวีปยุโรป จากมองว่าเงินจะไหลกลับเข้าไปในกลุ่มประเทศดังกล่าวมากขึ้น และค่าเงินยูโรจะปรับตัวแข็งค่าขึ้น รวมถึงอัตราการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อโควิด-19 ก็เริ่มน้อยลงเมื่อเทียบกับเดือนมี.ค.63
ขณะเดียวกันได้ปรับมุมมองการลงทุนในประเทศสหรัฐฯ ลดลง เนื่องจากนโยบายการคลังของสหรัฐฯ ที่คาดว่าปีนี้จะขาดดุลสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ และน่าจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์จะปรับตัวอ่อนค่าลงในปีนี้และปีหน้า และเมื่อมีรัฐบาลใหม่เข้ามาในช่วงแรก ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเห็นการขาดดุลที่เพิ่มขึ้น จากการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้มองว่าค่าเงินดอลลาร์เมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่น น่าจะค่อยๆ ปรับตัวอ่อนค่าลง ฉะนั้นจึงมีมุมมองเป็นบวกกับค่าเงินอื่นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ แต่อย่างไรก็ตามยังคงให้คำแนะนำการลงทุนในสหรัฐฯไว้เป็น neutral
นอกจากนี้ ยังแนะนำให้กระจายการลงทุนไปในประเทศญี่ปุ่นด้วย เนื่องจาก 3 ตลาดดังกล่าว ยุโรป สหรัฐ ญุ่ป่น บริษัทจดทะเบียนมีอัตราการทำกำไรเติบโตเฉลี่ยต่อปี 6%, มีการกระตุ้นเศรษฐกิจ และนโยบายภาษีไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากนัก ทำให้มองว่าบริษัทเหล่านี้น่าจะให้ผลตอบแทนในระยะยาว 1-2 ปีข้างหน้าเฉลี่ย 10% ได้
ส่วนกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยงการลงทุน ได้แก่ หุ้นกลุ่มพลังงาน จากแนวโน้มเศรษฐกิจทั่วโลกยังไม่ใช่ขาขึ้น, ประมาณการใช้พลังงานที่ลดลง, ผลประกอบการของบริษัทพลังงานก็ปรับตัวลดลง
ขณะที่ก็มองว่าช่วง 2-4 สัปดาห์ก่อนการเลือกตั้งฯ ที่ตลาดปรับตัวลงถือเป็นจังหวะเริ่มลงทุนที่ดีสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ โดยใช้โอกาสนี้เริ่มสะสมหุ้นที่ได้แนะนำไว้ข้างต้น ส่วนนักลงทุนรายเดิม ก็แนะนำไม่ให้ขายทิ้ง จากเชื่อว่าตลาดในระยะยาวจะปรับตัวขึ้นได้
ด้านตลาดหุ้นเอเชีย ที่ผ่านมาปรับตัวขึ้นในระดับที่ดี แต่แอลจีทีก็ยังไม่แนะนำให้ลงทุนในตลาดเอเชียหรือจีน เนื่องด้วยในช่วงใกล้วันเลือกตั้งสหรัฐฯ อาจถูกนำมาเป็นเครื่องมือในการหาเสียงได้
อนึ่ง แอลจีที ถือเป็นบริษัทชั้นนำที่ดำเนินงานด้านไพรเวทแบงก์กิ้งและการบริหารสินทรัพย์ในระดับนานาชาติ โดยได้เริ่มดำเนินธุรกิจมาตั้งแต่ปี 62 ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากลูกค้าในเอเชียแปซิฟิก รวมถึงไทยเป็นอย่างดี เนื่องจากการลงทุนในต่างประเทศได้ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า เห็นได้จากช่วงต้นปีจนถึงเมื่อวานนี้ การลงทุนในหุ้นกลุ่มเมกะเทรนด์ เช่น เทคโนโลยี, ดิจิทัลไลฟ์สไตล์ต่างๆ ได้ให้ผลตอบแทนไปแล้ว 48% และนอกเหนือจากการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศแล้ว บริษัทฯ ยังมีการบริหารจัดการ ผ่านกองทุนส่วนบุคคลด้วย