รมว.ดีอีเอส แจงปิดสื่อเป็นอำนาจศาล ยืนยันไม่ได้เลือกปฏิบัติ

ข่าวทั่วไป Wednesday October 21, 2020 15:40 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า ดีอีเอสไม่ได้มีนโยบายปิดกั้นสื่อ หรือดำเนินการเฉพาะใครหรือมีเจตนาอื่น กรณี Voice TV เกิดจากการที่ทางตำรวจในฐานะผู้รับผิดชอบควบคุมสถานการณ์ และการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งต่างจากสถานการณ์ปกติ และมีข้อห้ามเผยแพร่เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง การยุยง ปลุกปั่น เมื่อเข้าข่ายตามกรอบความมั่นคง ทางตำรวจก็จะแจ้งมายังดีอีเอสให้รวบรวมข้อมูลส่งศาลตามกระบวนการยุติธรรม เมื่อศาลมีคำสั่ง ทางกระทรวงก็จะแจ้งกลับไปยังตำรวจ

"ยืนยันว่ากระทรวงไม่มีนโยบายเจาะจงว่าเป็นสื่อหรือไม่ มีโพสอื่นๆ ที่ยื่นส่งศาลไป ทั้งที่เป็นนักข่าวและไม่ใช่ ซึ่งอะไรที่เข้าข้อกฎหมายและผิดจริงๆ เราไม่ได้อยากดำเนินคดี แต่เมื่อเกิดขึ้น ก็ต้องบังคับใช้กฎหมาย ส่วนกรณีอีก 3 สื่อยังไม่มีคำสั่ง ซึ่งกระทรวงไม่ได้มีอำนาจ เมื่อส่งไปศาล หากศาลมีคำสั่งก็แจ้งต่อ หลายอันเป็นการโพสต์ภาพต่อกันมา เมื่อมีคำสั่ง ก็ได้ติดต่อไปทุกหน่วยทุกสำนักงาน แจ้งว่าหากมีอะไรที่ลบได้ ไม่ได้มีเจตนา มีความสุ่มเสี่ยง เราก็แจ้งเตือน หากไม่หยุดเราก็ต้องส่งต่อ" รมว.ดิจิทัลฯ ระบุ

ทั้งนี้ ข้อมูลที่ตรวจสอบทั้งหมดก็ได้ส่งศาลไปทั้งหมด กระทรวงไม่สามารถก้าวก่ายหรือก้าวล่วงการพิจารณาของศาลฯ ได้ และก็มีหลายชิ้นที่กระทรวงฯ ยังไม่ได้นำเสนอ แต่ก็ดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายทั้งหมด ไม่ได้ดูว่าเป็นใคร แต่ส่งเท่าที่มีข้อมูลหลักฐาน และคำสั่งศาลอาจลงมาไม่พร้อมกัน โดยพยายามรวบรวมและรายงานให้ ซึ่งภาพรวมตั้งแต่วันที่ 14 ต.ค.63 ที่เข้าข่ายตามกรอบกฎหมายมีประมาณ 400,000 กว่า URLs

"โพสต์ที่เห็นเป็นหลักฐานทั้งหมด ให้เจ้าหน้าที่คัดกรองตรวจสอบที่เข้าข่ายความผิดและทยอยดู ไม่ได้เลือกปฏิบัติ หรือเจาะจง" นายพุฒิพงษ์กล่าว

พร้อมระบุว่า ข้อมูลที่ส่งไปแล้วและมีคำสั่งศาลออกมา ทุกอย่างต้องเดินหน้าต่อไปตามกระบวนการยุติธรรม ส่วนกรณีอื่นๆ พยายามอธิบายขั้นตอนตามที่เราเข้าใจ ด้วยความเป็นสื่อมวลชน แต่ละคนทราบดีว่าอะไรทำได้ ทำไม่ได้ เพราะวงการสื่อมวลชนมักจะรู้กฏหมายอยู่แล้ว แต่หากยังละเมิดก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย

นายพุทธิพงษ์ ระบุว่า การไลฟ์สดสามารถทำได้ แต่หากมีข้อมูลเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม หากเป็นไปได้ก็ไม่ควรระงับการไลฟ์ หรือ ปิดเสียง เพื่อไม่ให้เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหรือเผยแพร่ข้อมูลที่ผิดกฎหมาย เพราะจะถือว่ามีความผิดด้วย

"เมื่อพูดว่าสื่อ หลายๆ คนทำตัวเป็นสื่อออนไลน์ ตามที่มีชื่อในคำสั่งจากตำรวจว่าเป็นกรณีที่มีความสุ่มเสี่ยง เรามีหน้าที่เก็บรวบรวมหลักฐานและส่งไป ที่เหลือ ขึ้นอยู่กับทางศาลจะพิจารณา" รมว.ดิจิทัลฯกล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ