น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นอกสถานที่อย่างเป็นทางการ อนุมัติกรอบการเจรจาและข้อเสนอของไทยเพื่อจัดตั้งศูนย์อาเซียนด้านภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่ในประเทศไทย (ASEAN Center for Public Health Emergencies and Emerging Diseases : APHEED) เพื่อสร้างความมั่นคงปลอดภัยจากภาวะฉุกเฉินทางสาธารณสุขและโรคอุบัติใหม่ให้กับประชาคมอาเซียน โดยเน้นขีดความสามารถ พร้อมรับ ตรวจจับ และตอบโต้
เมื่อวันที่ 19 ต.ค.63 กระทรวงสาธารณสุขได้ส่งชุดคำตอบสำหรับการแสดงความจำนงว่าประเทศไทยมีความพร้อมต่อการเป็นเจ้าภาพจัดตั้ง APHEED ไปยังสำนักเลขาธิการอาเซียนแผนกสุขภาพ โดยระบุคำตอบถึงความพร้อมในการเตรียมสถานที่ตั้งของ APHEED ไว้ที่กรมควบคุมโรค
สำหรับงบประมาณพื้นฐานในการดำเนินงานของ APHEED อยู่ที่ปีละประมาณ 12-15 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และหากให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดจะใช้งบประมาณปีละ 28-33 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยช่วง 5 ปีแรกของการจัดตั้ง APHEED จะมีงบลงทุนประมาณปีละ 14-17 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อใช้ก่อสร้างตึก ติดตั้งระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นต้น โดยในระยะ 3 ปีแรกควรจะมีบุคลากรประมาณ 70-80 คน และภาพรวมควรจะมีบุคลากรทำงานใน APHEED ประมาณ 130-170 คน
อย่างไรก็ตาม กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า งบประมาณพื้นฐานในการดำเนินงานของ APHEED ในปีแรกคาดว่าจะต้องใช้งบประมาณ 20 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ส่วนนี้จะได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลญี่ปุ่นและจากกลไกการดำเนินงานของสำนักเลขาธิการอาเซียน แต่ยังไม่ทราบจำนวนสนับสนุนที่แน่ชัด ดังนั้นส่วนที่เหลือจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลของประเทศที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นเจ้าภาพ ดังนั้นกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงการต่างประเทศจึงได้จัดทำข้อเสนอกรอบวงเงินเพื่อการเจรจาต่อรองไม่เกินร้อยละ 20 ของงบประมาณพื้นฐานในการดำเนินงานของ APHEED ต่อปี และต้องไม่เกินปีละ 10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ทั้งนี้หากประเทศไทยได้รับการคัดเลือกให้จัดตั้ง APHEED จะได้มีส่วนร่วมสำคัญในการพิจารณากำหนดกรอบการดำเนินการของ APHEED นำไปสู่การพัฒนาความร่วมมือทั้งด้านวิชาการและการดำเนินการป้องกันโรคร่วมกันของประเทศสมาชิกอาเซียนและความร่วมมือจากประเทศอื่น ทำให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศไทยดังนี้คือ ช่วยลดค่าใช้จ่ายด้านการแพทย์และสาธารณสุขของไทยที่ให้การสนับสนุนในการคัดกรองและการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค การตรวจรักษา และการควบคุมโรคระบาดในกลุ่มแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย นอกจากนี้ยังสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน นักท่องเที่ยว และผู้ที่เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร ในความเข้มแข็งของระบบสาธารณสุขของไทย และประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งจะส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อการค้า การลงทุนระหว่างกัน รวมถึงการส่งเสริมด้านเศรษฐกิจร่วมกันของอาเซียนและจากประเทศในภูมิภาคอื่นทั่วโลก รวมทั้งยังช่วยพัฒนาระบบสาธารณสุขของไทยให้มีความยั่งยืนตามเป้าหมายยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีด้านสาธารณสุข