นางเกศวรงค์ หงส์ลดารมภ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) แนะนำให้ผู้ประกอบการที่นำเข้าแบตเตอรี่สำรอง (เพาเวอร์แบงก์) รีบนำสินค้าไปทดสอบมาตรฐานที่ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็คทรอนิกส์ (PTEC) ของ สวทช. และนำผลรายงานการทดสอบไปยื่นต่อสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) เพื่อยื่นขอเครื่องหมายมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ให้แล้วเสร็จก่อนกำหนดของกระทรวงอุตสาหกรรม วันที่ 1 ธ.ค.63 เพราะมีเวลาอีกไม่มาก ก่อนที่จะถึงกำหนดการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว
สืบเนื่องจากกรณีที่เกิดเหตุการณ์เพาเวอร์แบงก์ระเบิดในขณะจอดรถไว้กลางแดดร้อนจัด รวมถึงการชาร์จไฟทิ้งไว้จนเกิดไฟลุกไหม้เสียหายขึ้นบ่อยครั้ง ก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้บริโภค สมอ. จึงได้ประกาศให้มาตรฐานเพาเวอร์แบงก์เป็นมาตรฐานบังคับ คือ มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม แบตเตอรี่สำรองไฟฟ้าสำหรับการใช้งานแบบพกพา คุณลักษณะที่ต้องการด้านความปลอดภัย มอก. 2879-2560 ซึ่งผู้ประกอบการสามารถยื่นขอ มอก.เพื่อรับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ของตนเองได้ โดยจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ธ.ค.63 ส่งผลให้เพาเวอร์แบงก์ในท้องตลาดทุกยี่ห้อ ต้องมีเครื่องหมาย มอก. รับรองตามที่มาตรฐานกำหนด หากละเมิดผู้นำเข้าจะมีความผิดทางอาญา
ด้านนายไกรสร อัญชลีวรพันธ์ ผู้อำนวยการ ศูนย์ทดสอบผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (PTEC) สวทช. แนะนำผู้บริโภคสังเกตความผิดปกติของแบตเตอรี่ โดยให้สังเกตจากรูปลักษณ์ภายนอก หากมีการบวมแตกหรือบิ่น ถือว่าไม่ปลอดภัย ควรนำไปตรวจสอบก่อนใช้งานต่อ และผู้บริโภคไม่ควรเลือกใช้แบตเตอรี่ที่มีราคาถูกเกินจริง ที่สำคัญให้ตรวจสอบว่าสินค้าได้รับการรับรองมาตรฐานอุตสาหกรรมหรือไม่ เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้บริโภคเอง