นพ.โสภณ เอี่ยมศิริถาวร ผู้อำนวยการกองโรคติดต่อทั่วไป กรมควบคุมโรค กล่าวถึงกรณีการติดเชื้อในประเทศ ซึ่งเป็นบุคลากรทางการแพทย์และทำงานใน Alternative State Quarantine (ASQ) ทั้ง 5 รายว่า ข้อมูลสรุปจากการสอบสวน คือ มีบุคลากรทางการแพทย์ 1 ราย ได้รับเชื้อจากการปฏิบัติงานใน ASQ แล้วมาแพร่เชื้อให้ผู้ร่วมงานนอกเวลางาน (จากการรับประทานอาหารร่วมกัน) จึงทำให้มีบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อรวม 5 ราย
ผลการสอบสวนโรคจาก รพ.ต้นสังกัด ซึ่งได้มีการเก็บตัวอย่างจากผู้สัมผัสอื่นๆอีก 31 ราย ไม่พบการติดเชื้อ ส่วนเพื่อนร่วมห้องพักเดียวกัน 6 ราย ตรวจไม่พบเชื้อ และห้องสัมภาษณ์งานใน รพ.รัฐ 7 ราย ผลตรวจไม่พบเชื้อ รวมทั้งสมาชิกในครอบครัวอีก 7 ราย ผลตรวจก็ไม่พบเชื้อเช่นกัน
"กรณีนี้ มีผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 229 ราย แบ่งเป็น ผู้อยู่ในรพ.เอกชน 195 ราย ตรวจไม่พบเชื้อทั้งหมด และที่ทำงานใน ASQ ทั้ง 2 แห่ง รวม 34 คน ตรวจไม่พบเชื้อ สรุปผู้สัมผัสเสี่ยงสูง 51 คน และเสี่ยงต่ำ 229 คน รวม 280 คน ตรวจไม่พบเชื้อทั้งหมด และตรวจบุคลากรในแผนกอื่นๆ อีก 465 คน รวมทั้งหมดทั้ง รพ. 745 คน ตรวจไม่พบเชื้อทั้งหมด
สรุปเหตุการณ์นี้การระบาดเกิดจากคน 1 คนที่ติดเชื้อจาก ASQ ในขณะปฏิบัติงาน และมาแพร่เชื้อต่อให้เพื่อนร่วมงานนอกเวลางาน 4 คน ส่วนที่ทำงานที่เป็น รพ.หลัก ไม่มีใครติดเชื้อเพิ่มเติม" นพ.โสภณกล่าว
สำหรับข้อมูลจากสถานกักกันตัวที่ราชการกำหนด ทั้งส่วนกลาง และจังหวัด (Quarantine Facilities) ตั้งแต่เปิดบริการเมื่อ เม.ย. - 9 ธ.ค.63 มีผู้ป่วยยืนยันสะสม 1,164 ราย จากจำนวนผู้ที่อยู่ในสถานกักกันตัว 172,544 ราย จาก 85 ประเทศ หรือคิดเป็นอัตราผู้ป่วยในกลุ่มผู้เข้ากักกันเพียง 0.67%
ส่วนการติดเชื้อในประเทศไทย กรณีหญิงไทย อายุ 51 ปี อาศัยที่ จ.สิงห์บุรี และเดินทางกลับมาจาก จ.เชียงรายนั้น จากการติดตามผู้สัมผัสผู้ป่วย 55 ราย โดยผู้สัมผัสเสี่ยงสูงทั้ง 37 รายผลตรวจไม่พบเชื้อ ดังนั้นผู้ที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยรายนี้ขอให้สบายใจได้ ส่วนผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ 18 ราย ยังอยู่ในระหว่างการสังเกตอาการให้ครบ 14 วันนับตั้งแต่วันที่เจอผู้ป่วยจากสิงห์บุรีครั้งสุดท้าย
ขณะที่ประชาชนที่โดยสารมาทางเครื่องบินเที่ยวบินเดียวกับหญิงไทย จ.สิงห์บุรี รายนี้ ทั้งผู้สัมผัสเสี่ยงสูง และผู้สัมผัสเสี่ยงต่ำ ผลตรวจไม่พบว่ามีผู้ติดเชื้อ