นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติตามที่สำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เสนอ ในการขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 16 ม.ค.-28 ก.พ.64 ซึ่งถือเป็นการขยายระยะเวลา พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ เป็นครั้งที่ 9
เนื่องจาก ครม.จำเป็นที่จะต้องใช้อำนาจตาม พ.ร.ก. การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 เพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐมีอำนาจในการปฏิบัติงาน เพื่อกำหนดมาตรการป้องกันควบคุมโรคและมาตรการทางสังคมที่เข้มข้นและรวดเร็ว บริหารจัดการตามมาตรการด้านสาธารณสุขได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความเชื่อมั่นในการกำกับดูแลระบบสาธารณสุขของประเทศและความปลอดภัยในชีวิตของประชาชน ด้วยการบูรณาการกำลังทั้งพลเรือน ตำรวจ และทหารเข้าร่วมปฏิบัติงานได้อย่างรวดเร็วและเพียงพอตาม จึงเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในทุกเขตท้องที่ทั่วราชอาณาจักร ตั้งแต่วันที่ 16 ม.ค.-28 ก.พ.64 (ครั้งที่ 9)
นายอนุชา กล่าวถึงภาพรวมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วโลกยังมีแนวโน้มรุนแรงในหลายภูมิภาค หลายประเทศในยุโรปกลับมาใช้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดที่เข้มงวดอีกครั้ง ขณะที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ยังคาดการณ์ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดจะรุนแรงมากขึ้นในทุกภูมิภาคของโลก
สำหรับสถานการณ์ในประเทศไทยนั้น ปัจจุบันโรคโควิด-19 เกิดการระบาดระลอกใหม่ภายในประเทศเป็นวงกว้างและกระจายไปในหลายเขตพื้นที่ทั่วประเทศ พบจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นในแต่ละวัน ทั้งจากคนไทยและแรงงานต่างด้าว รวมทั้งยังมีการเดินทางของผู้ติดเชื้อ ซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่ปรากฏอาการของโรค ทำให้มีการแพร่เชื้อโรคออกไปในลักษณะที่เป็นกลุ่มก้อนและอาจมีผู้เสียชีวิตเพิ่มในกลุ่มผู้ป่วยหนัก นอกจากนี้ ยังพบว่ามีผู้ติดเชื้อบางส่วนปกปิดข้อมูลการเดินทาง ทำให้ขั้นตอนการสอบสวนโรคเกิดความล่าช้า และเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงาน จนส่งผลให้เกิดเป็นการระบาดระลอกใหม่ขึ้นเป็นวงกว้างทั่วประเทศ