นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข กล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีแสดงความเป็นห่วง ไม่อยากให้นำเรื่องการเมืองมาเกี่ยวข้องกับการจัดหาวัคซีนนั้นว่า นายกรัฐมนตรีน่าจะเป็นห่วงประชาชนมากกว่า จึงไม่อยากให้เรื่องนี้กลายมาเป็นประเด็นทางการเมือง ซึ่งตนและทีมงานของกระทรวงสาธารณสุขทุกคน ยืนยันไม่เคยมองเรื่องวัคซีนเป็นเรื่องการเมือง หากได้วัคซีนมาโดยเร็ว ก็เป็นประโยชน์กับทุกคน
"ขอย้ำว่า ไม่มีการเอื้อประโยชน์ให้กับใครหรือกลุ่มใด ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน กฏหมาย และหลักวิชาการ รวมถึงแพทย์ให้การรับรอง" รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุขกล่าว
นายอนุทิน กล่าวว่า ประเทศไทยโชคดีที่สามารถควบคุมสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ดี ทำให้สามารถเลือกสิ่งที่ดีที่สุดและเลือกความปลอดภัยให้แก่ประชาชน ดังนั้นวัคซีนที่จะนำมาแจกจ่ายให้กับประชาชนจะต้องมีความปลอดภัยมากที่สุด ซึ่งขณะนี้มีข้อมูลและผลการทดลองวัคซีนออกมาจำนวนมาก และปรากฏอย่างชัดเจนว่า วัคซีนที่ไทยเลือกใช้ คือของบริษัทแอสตร้า เซนเนก้า น่าจะเหมาะสมกับสถานการณ์ ภูมิประเทศ และคนไทยมากที่สุด ดังนั้นเมื่อมีวัคซีนที่สั่งจองแล้ว อีกทั้งต่อไปไทยยังสามารถผลิตในประเทศได้ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการถูกตัดออเดอร์ หรือการถูกแย่งชิงออร์เดอร์ไปก่อน
ส่วนที่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขเสนอให้เริ่มฉีดวัคซีนในวันที่ 14 ก.พ.นั้น นายอนุทิน กล่าวว่า ตนพร้อมที่จะเป็นผู้ฉีดวัคซีนคนแรก อย่างไรก็ดีเมื่อวัคซีนมาถึงไทยจะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบความปลอดภัยจากองค์การอาหารและยา (อย.) และกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ก่อน เพื่อให้มีความมั่นใจว่ามีความปลอดภัยหากฉีดให้กับประชาชน ส่วนที่นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ตั้งคำถาม 5 ข้อเรื่องวัคซีคนั้น ตนพร้อมที่จะชี้แจงตามข้อเท็จจริง ส่วนข้อแนะนำใดที่เป็นประโยชน์ ก็จะนำไปคิดหารือและนำไปปฏิบัติต่อไป เพื่อประโยชน์ของประชาชน
นายอนุทิน กล่าวถึงกรณีที่โลกโซเชียลวิพากษ์วิจารณ์ถึงการกักตัวของบางคน ที่ระหว่างกักตัวได้ออกมาทำกิจกรรมภายนอกนั้น นายอนุทิน กล่าวว่า เรื่องนี้ต้องไปดูข้อเท็จจริงว่าหากเป็นผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศต้องกักตัวทุกคน เพื่อเฝ้าระวังความปลอดภัย ส่วนผู้ที่มีความเสี่ยงติดเชื้อภายในประเทศต้องเฝ้าระวังและตรวจสอบอาการของตนเอง โดยต้องจำกัดสถานที่ และไม่ควรไปข้องเกี่ยวกับผู้อื่น เช่นเดียวกับที่ตนเองเคยปฏิบัติ เมื่อสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรสาคร ส่วนที่บางคนไม่กักตัวตามที่แพทย์แนะนำก็ให้สังคมช่วยกันลงโทษ
สำหรับกลุ่มนักแสดงที่จัดปาร์ตี้ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดโควิด-19 จะต้องมีการดำเนินคดีหรือไม่นั้น นายอนุทิน กล่าวว่า กฏหมายไม่ได้กำหนดไว้ เพียงแต่มีข้อห้ามไม่ให้นั่งรับประทานอาหารที่ร้านและดื่มแอลกอฮอล์เกินเวลา 21.00 น. ส่วนเรื่องการรวมกลุ่มสังสรรค์ ได้ขอความร่วมมือให้หลีกเลี่ยง ดังนั้นขึ้นอยู่กับว่าใครจะให้ความร่วมมือ ซึ่งเชื่อว่าผู้ที่ทำเช่นนั้นสังคมก็จะลงโทษ ไม่เคยว่างเว้นให้อยู่แล้ว โดยย้ำว่าทุกคนควรอยู่ด้วยจิตสำนึก เพราะหากใช้กฏหมายควบคุมทั้งหมดก็อาจจะต้องล็อกดาวน์ ซึ่งก็จะทำให้ทุกอย่างแย่
"รัฐบาลทำได้เท่าที่ทำ และขอความร่วมมืออย่างเต็มที่ หากทำไม่ได้ ก็ให้สังคมประณาม แต่หากพบว่าตรงไหนผิดกฏหมายก็ให้ดำเนินการ โดยขณะนี้ได้กำชับและให้ตำรวจจัดสายตรวจเพิ่มเติม เพื่อดูแลความเรียบร้อย" นายอนุทินกล่าว
ส่วนที่สมาคมภัตตาคารไทย เตรียมเสนอขอขยายเวลาเปิดร้านจากเวลา 21.00 น. เป็น 23.00 น.นั้น นายอนุทิน กล่าวว่า พร้อมที่จะพิจารณา แต่ต้องนำข้อเสนอมาดูก่อนว่าจะดำเนินการอย่างไร โดยต้องสอดคล้องกับสถานการณ์และมาตรการด้านสาธารณสุข ซึ่งโดยส่วนตัวเห็นว่าหากเป็นไปได้อาจเสนอให้เปิดถึง 24.00 น. โดยต้องรอเสนอต่อที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ชุดใหญ่ ซึ่งจะมีการประชุมกันในวันที่ 29 ม.ค.นี้ รวมถึงการพิจารณาลดพื้นที่เสี่ยงด้วย