พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) พร้อมด้วย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร., พล.ต.ท.จารุวัฒน์ ไวยศยะ ผู้ช่วย ผบ.ตร. , พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง ผบช.สตม. ร่วมแถลงผลการปฏิบัติในการกวาดล้างกระบวนการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายพร้อมกันทั่วประเทศ สามารถจับกุมต่างด้าวผิดกฎหมาย และขบวนการนำพาได้จำนวนมากในช่วงวันที่ 1 ม.ค.-11 ก.พ.64
- จับกุมต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง 396 ราย
- จับกุมผู้นำหรือพาคนต่างด้าวโดยผิดกฎหมาย 29 ราย
- จับกุมผู้ช่วยเหลือ ซ่อนเร้น คนต่างด้าวโดยผิดกฎหมาย 91 ราย
- ระดมกวาดล้างขบวนการนำพาแรงงานต่างด้าวตามหมายจับ(CCOC) 19 หมาย
- สืบสวนขยายผลขบวนการ/เครือข่ายนำพาแรงงานต่างด้าวมากกว่า 10 ขบวนการ/เครือข่าย
- ยึดรถของกลางที่ใช้ในการนำพา 22 คัน
นอกจากนี้ได้ดำเนินการตรวจสอบและติดตามข้อร้องเรียนจากประชาชนผ่านสายด่วน 1111 จำนวน 9 เรื่อง ผลการปฏิบัติจับกุมคนต่างด้าวทำงานนอกเหนือสิทธิ 2 ราย (ระยอง) คนต่างด้าวไม่รายงานตัว 90 วัน 1 ราย (กทม.) และคนไทยไม่แจ้งที่พักอาศัยคนต่างด้าว 2 ราย (กทม.และราชบุรี) ขณะเดียวกันได้ดำเนินการจัดตั้งจุดตรวจ-จุดสกัดเพื่อป้องกันแรงงานต่างด้าวลักลอบหลบหนีเข้าเมืองอีกจำนวนทั้งสิ้น 30 จุด
คณะทำงานฯ ได้ดำเนินการรวบรวมข่าวสารเกี่ยวกับขบวนการลักลอบขนแรงงงานต่างด้าว โดยร่วมบูรณาการด้านการข่าวกับสภาความมั่นคงแห่งชาติ ศูนย์รักษาความปลอดภัย และหน่วยข่าวกรองทหาร เพื่อทลายเครือข่ายขนแรงงานข้ามชาติเพิ่มเติม จนปรากฏข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มขบวนการขนแรงงานในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งตนเองได้สั่งการให้ปฏิบัติการกวาดล้างปิดล้อมตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย ระหว่างวันที่ 8-11 ก.พ.64 คณะทำงานฯ พร้อมหน่วยงานในสังกัด ตร.และหน่วยความมั่นคงในพื้นที่ ร่วมตรวจค้นจำนวน 21 จุด ในพื้นที่ 9 จังหวัด ดังนี้
ภาคกลาง ซึ่งเป็นพื้นที่สำคัญที่แรงงานต่างด้าวต้องการเข้ามาประกอบอาชีพ เป็นตลาดแรงงาน และเป็นแหล่งพักพิงของแรงงานต่างด้าวก่อนที่จะกระจายไปพื้นที่ชั้นในของประเทศ รวมถึงเป็นที่พักพิงของคนต่างด้าวบางกลุ่ม เช่น โรฮีนจาที่ต้องการเดินทางผ่านแดนไปมาเลเซีย เป็นต้น โดยเมื่อวันที่ 12 ก.พ.64 บก.สส.สตม.ได้จับกุมตัว นางราตรี หรือเจ๊เพชร (สงวนนามสกุล) อายุ 45 ปี ตามหมายจับของศาลอาญาในความผิดฐานนำพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรฯ ซึ่งเป็นเครือข่ายใหญ่ที่สุดในการนำเข้า-ส่งออกแรงงานเมียนมาเข้าสู่ตลาดกลางกุ้ง จังหวัดสมุทรสาคร ศูนย์กลางการแพร่ระบาดโควิด-19 ระลอกใหม่ โดยได้ตรวจยึดทรัพย์สินและเอกสารสำคัญต่างๆ ตลอดจนได้จับกุมเครือข่ายตามหมายจับของศาลเกี่ยวกับ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง เพิ่มเติมอีกด้วย
ภาคใต้ เครือข่ายกะพ้อ ยะหริ่ง ต่อเนื่องโรฮีนจาเจ๊ดา ดอนเมือง ได้ปิดล้อมตรวจค้นในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช, ยะลา และนราธิวาส โดยได้ดำเนินการปิดล้อม จำนวน 7 จุด สามารถจับกุมในความผิดฐานร่วมกันนำ หรือพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักรฯ, ช่วยเหลือ ซ่อนเร้น ด้วยประการใดๆ แก่คนต่างด้าวฯ ผู้ต้องหา 10 ราย พร้อมตรวจยึดของกลาง ได้แก่ โทรศัพท์เคลื่อนที่จำนวน 10 เครื่อง, รถยนต์จำนวน 7 คัน และสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารจำนวน 14 เล่ม โดยเครือข่ายดังกล่าวทำหน้าที่นำเข้าและส่งออกแรงงานเมียนมาระหว่างไทย-มาเลเซีย และประสานงานกับเครือข่ายที่พักและขนส่งแรงงานในพื้นที่ภาคกลาง
ภาคตะวันออก โดยเครือข่ายจันดี เป็นขบวนการลักลอบนำเข้าและส่งออกแรงงานเขมรระหว่าง จ.จันทบุรี และ จ.สระแก้ว กับ จ.บันเตียเมียนเจยของกัมพูชา โดยในจ.จันทบุรีไม่พบบุคคลเป้าหมายแต่พบโทรศัพท์มือถือและรถยนต์จำนวน 13 คัน เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับขบวนการขนแรงงานกัมพูชา จึงเก็บรวบรวมของกลางเป็นข้อมูลเพื่อสืบสวนหาความเชื่อมโยงอื่นๆ และ จ.สระแก้ว จับกุมผู้ต้องหา 2 ราย ทำหน้าที่ขับรถขนคน พร้อมจับกุมแรงงานต่างด้าวสัญชาติกัมพูชา 12 ราย พร้อมของกลาง แจ้งข้อกล่าวหากระทำความผิดฐานขัดคำสั่งจังหวัดสระแก้วที่ 944/2563 เรื่อง ห้ามเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวเข้ามาในพื้นที่, กระทำการมั่วสุมในสถานที่แออัด ฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เครือข่ายเจ๊ดาฯ มุกดาหาร และเครือข่ายสุรินทร์ เป็นขบวนการลักลอบนำเข้าและส่งออกแรงงานลาว สามารถจับกุมผู้ต้องหาสัญชาติไทย 1 คน และสัญชาติลาว 3 คน แจ้งข้อกล่าวหาเป็นคนไทยไม่เข้า-ออกราชอาณาจักรตามช่องทางที่กฎหมายกำหนด และคนต่างด้าวเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต และจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับศาลความผิดฐานร่วมกันช่วยเหลือ ซ่อนเร้น ด้วยประการใดๆ แก่คนต่างด้าวฯ
ภาคเหนือ ดำเนินการกับเครือข่ายอาต๋า จ.เชียงราย และเครือข่ายเจ๊อ้อย จ.ตาก โดยได้ดำเนินการตรวจค้นยังไม่พบเป้าหมาย แต่พบหลักฐานเป็นรถยนต์ สมุดบัญชีธนาคาร โทรศัพท์มือถือ เกี่ยวข้องกับขบวนการขนแรงงานคนจีนและเมียนมาเข้าออกในพื้นที่ จะได้นำพยานหลักฐานขยายผลต่อไป
ผบ.ตร.กล่าวว่า ได้สั่งการให้ทุกหน่วยปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเข้มแข็ง เคร่งครัดในการบังคับใช้กฎหมายให้มีประสิทธิภาพ เห็นผลเป็นรูปธรรม เน้นหนักการสืบสวนขยายผลไปยังขบวนการ/เครือข่ายทุกกรณี และห้ามมิให้เจ้าหน้าที่เข้าไปยุ่งเกี่ยว พัวพันกับการกระทำความผิด หากพบข้อบกพร่องจะดำเนินการทางอาญา วินัย และปกครองโดยเฉียบขาดทุกราย ตลอดจนพิจารณาโทษผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นด้วย โดยขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันเพื่อให้ผ่านพ้นสถานการณ์ในครั้งนี้ไปด้วยความเรียบร้อย ประชาชนมีความปลอดภัย ห่างไกลจากโรค และหากพบเบาะแสการกระทำความผิด โปรดแจ้งสายด่วน 1111, 191, 1178 หรือ 1599 ได้ทันที