พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม กล่าวถึงความคืบหน้าการขึ้นทะเบียนวัคซีนโควิด-19 ว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ขึ้นทะเบียนให้กับบริษัท แอสตราเซนเนกาแล้ว ส่วนของบริษัท ซิโนแวก ไบโอเทค จะดำเนินการให้ทันก่อนที่วัคซีนล็อตแรกจะมาถึง
ส่วนที่กำลังขอขึ้นทะเบียนในขณะนี้ คือวัคซีนของบริษัท จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน อยู่ระหว่างรอเอกสารจากทางบริษัทฯ ขณะที่วัคซีนของบริษัท โมเดอร์นา และไฟเซอร์ อยู่ระหว่างการพูดคุยแต่ยังไม่มีการส่งเอกสารเข้ามา ซึ่งยืนยันว่าไทยไม่ได้มีการปิดกั้น
นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า วัคซีนป้องกันโควิด-19 ล็อตแรก จำนวน 2 แสนโดสจากบริษัท ซิโนแวก จะส่งถึงไทยในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้ หลังจากนั้นจะใช้เวลาเตรียมการ 3 วันก่อนเริ่มฉีดวัคซีนเข็มแรก ซึ่งมีแผนกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่จะได้รับวัคซีนไว้แล้ว และเป็นไปตามข้อบัญญัติของวัคซีนของแต่ละบริษัทว่าควรฉีดให้คนกลุ่มอายุใด เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบด้านอื่นๆ
ส่วนวัคซีนล็อตสองจำนวน 8 แสนโดส และล็อตสามอีก 1 ล้านโดสจะทยอยส่งตามมา โดยจะนำไปฉีดเข็มที่ 2 ให้กับกลุ่มแรกที่ได้รับวัคซีนไปแล้ว รวมถึงประชาชนที่มีความเสี่ยง ซึ่งเน้นพื้นที่เสี่ยงร่วมด้วย เพราะนอกจากบุคลากรทางการแพทย์แล้วยังมีกลุ่มเสี่ยงอื่นๆ เช่น แรงงาน และผู้ที่อยู่ในพื้นที่ท่องเที่ยว
สำหรับวัคซีนของบริษัท แอสตราเซนเนกา จำนวน 26 ล้านโดส จะส่งถึงประเทศไทยประมาณเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน และจะตามมาอีก 35 ล้านโดส เมื่อได้รับมาแล้วก็จะกำหนดแผนในการฉีดวัคซีนให้มีความต่อเนื่อง และสอดคล้องกัน
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ผู้ที่ได้รับวัคซีนแล้วจะมีความปลอดภัยในระดับหนึ่ง ส่วนที่เหลือก็จะทยอยได้รับวัคซีนจนครบตามจำนวนที่ได้รับมา ดังนั้นระหว่างนี้ขอให้ป้องกันตัวเองตามมาตรการสาธารณสุขไปก่อน
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การฉีดวัคซีนเป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน ดังนั้นหากภาคเอกชนจะนำเข้าวัคซีนจะต้องขออนุญาตจาก อย.ก่อน และที่สำคัญจะต้องฉีดตามแผนที่รัฐบาลกำหนด เพื่อความปลอดภัยของทุกคน