นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวให้สัมภาษณ์ว่า รัฐบาลมีนโยบายให้ประชาชนทุกคนในประเทศไทย ได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 อย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน โดยความสมัครใจ ซึ่งการฉีดวัคซีนต้องเป็นไปตามข้อกำหนดทางการแพทย์ และการพิจารณาของแพทย์เท่านั้น สำหรับวัคซีน CoronaVac ของบริษัทซิโนแวค ล็อตแรกได้รับแล้ว 2 แสนโดส ขณะนี้ผ่านการตรวจรับรองจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งเป็นการนำเข้าเพื่อฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์เป็นลำดับแรก และฉีดให้กับประชาชนในเขตพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อและแพร่กระจายเชื้อเพื่อการควบคุมการระบาด จากนั้นจึงเป็นการฉีดเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ เฉพาะกลุ่มในบางพื้นที่เท่านั้น
นพ.เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า ในวันนี้องค์การเภสัชกรรม ได้จัดส่งวัคซีนให้กับ 4 โรงพยาบาล ได้แก่ โรงพยาบาลสมุทรสาคร 20,040 โดส โรงพยาบาลชลบุรี 4,720 โดส โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า 3,000 โดส และสถาบันบำราศนราดูร 3,000 โดส พร้อมเริ่มฉีดวันแรกในวันที่ 28 กุมภาพันธ์นี้ ขณะนี้ โรงพยาบาลได้เตรียมการจัดบริการวัคซีนพร้อมแล้ว
ส่วนวัคซีนซิโนแวคที่เหลืออีก 1.8 ล้านโดส จะมาในเดือนมีนาคม และเดือนเมษายน จะเป็นการฉีดตามโปรแกรมที่คณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค เป็นผู้พิจารณากำหนดแผนจัดการฉีดวัคซีนไว้ และสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ ในส่วนของวัคซีนแอสตร้าเซนเนกา อยู่ระหว่างกระบวนการตรวจสอบมาตรฐานคุณภาพ (Quality assurance) โดยบริษัทแอสตร้าเซนเนกา ประเทศอังกฤษ ก่อนจะนำมาฉีดให้ประชาชนกลุ่มเป้าหมายและประชาชนกลุ่มผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป คาดว่าจะฉีดได้ในเดือนมีนาคมนี้ โดยจะทยอยกระจายและจัดส่งวัคซีนทั้งหมดไปยังโรงพยาบาลใน 18 จังหวัด ตามแผนของคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด 19)
"ขณะนี้ ฝ่ายนโยบายหรือฝ่ายบริหารได้นำวัคซีนมาให้แล้ว ต่อไปแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาดำเนินการตามมาตรการควบคุมโรคด้วยวัคซีน ให้ประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย สร้างภูมิคุ้มกันให้คนที่อยู่ในแผ่นดินไทย ฟื้นฟูเศรษฐกิจประเทศ" นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าว
ภายหลังการตรวจเยี่ยมความพร้อมระบบริการจัดฉีดวัคซีนในช่วงบ่าย นพ.เกียรติภูมิให้สัมภาษณ์ว่า ระบบการให้บริการฉีดวัคซีนที่ได้จัดเตรียมไว้มีความพร้อม ใช้เวลาในการจัดฉีดและเฝ้าระวังสังเกตอาการประมาณ 37 นาที ซึ่งในวันพรุ่งนี้เป็นจะวันแรกในการเริ่มฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเป้าหมาย โดยจะนำคณะผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขร่วมฉีดวัคซีนที่สถาบันบำราศนราดูร เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนว่าวัคซีนมีความปลอดภัย
ในส่วนที่มีสื่อมวลชนถามเกี่ยวกับประเด็นการฉีดวัคซีนให้กับนายกรัฐมนตรี ปลัดก.สาธารณสุข กล่าวว่า คณะกรรมการด้านการแพทย์เห็นว่านายกรัฐมนตรีอยู่ในกลุ่มเป้าหมายที่สมควรได้รับวัคซีนเนื่องจากมีอายุมากกว่า 60 ปี โดยวัคซีนที่เหมาะสมที่จะฉีดคือวัคซีนจากแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งในขณะนี้อยู่ระหว่างกระบวนการตรวจสอบมาตรฐานคุณภาพ คาดว่าจะสามารถฉีดให้กับผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปได้ภายในเดือนมีนาคม อย่างไรก็ตามการฉีดวัคซีนจะต้องอยู่ภายใต้ดุลพินิจของแพทย์ในการสั่งฉีดและความสมัครใจของผู้ที่รับการฉีดด้วย
ด้านนายแพทย์อภิชาต วชิรพันธ์ ผู้อำนวยการสถาบันบำราศนราดูร กล่าวว่า สถาบันบำราศนราดูรได้รับวัคซีนป้องกันโรคโควิด 19 ของซิโนแวค 3,000 โดส ขณะนี้เก็บไว้ที่คลังยาในตู้แช่ยาที่ความเย็น 2-8 องศา และเตรียมสถานที่ที่หอประชุมอัจฉราและตู้เย็นสำหรับเก็บยา โดยจะฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมาย อายุ 18-59 ปี จำนวน 1,500 คน ได้แก่ บุคลากรสาธารณสุขด่านหน้า เจ้าหน้าที่ที่ดูแลหรือต้องสัมผัสกับผู้ติดเชื้อโควิด 19 เจ้าหน้าที่อื่นๆ ที่มีโอกาสสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี และผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว ได้แก่ โรคทางเดินหายใจเรื้อรังรุนแรง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง มะเร็ง เบาหวาน โรคอ้วน