เมื่อตอนสายที่ผ่านมา เครื่องบิน แอร์บัส A380 สายการบินไทย เที่ยวบินสุวรรณภูมิ-เชียงใหม่ ซึ่งเป็นเที่ยวบินปฐมฤกษ์ ก่อนจะมีการเปิดใช้บริการจริงเกิดอุบัติเหตุปีกเครื่องบินเฉี่ยวชนกับผนังของโรงซ่อมบำรุงเครื่องบินที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
นายเทอร์รี ลุทซ์ กัปตันเที่ยวบินดังกล่าวว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นขณะรถลากเครื่องบินกำลังดันเครื่องบินเข้าสู่ทางขับ (แท็กซี่เวย์) และปัญหาน่าจะเกิดจากความผิดพลาดในการสื่อสารทางภาคพื้น แต่ไม่ยืนยันว่าเป็นความผิดพลาดของเจ้าหน้าที่ให้บริการภาคพื้นหรือไม่ โดยระบุว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ไม่มีผลต่อความปลอดภัยและศักยภาพทางการบิน เนื่องจากปลายปีกเครื่องบินส่วนที่เสียหาย ซึ่งถูกถอดออกก่อนที่จะทำการเดินทางต่อนั้น เป็นชิ้นส่วนสำหรับลดแรงต้านทานของเครื่องบิน ซึ่งจะช่วยในการประหยัดน้ำมันเท่านั้น ไม่มีผลต่อระบบการบิน และความปลอดภัยในการเดินทาง และการถอดปลายปีกออกจะส่งผลกระทบต่อการใช้น้ำมันเฉพาะเส้นทางบินระยะไกล ทำให้ใช้พลังงานเชื้อเพลิงมากกว่าปกติเพียงร้อยละ 1 แต่สำหรับเที่ยวบินท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ-เชียงใหม่ ครั้งนี้จะไม่เห็นผลการเปลี่ยนแปลงใดๆ เกิดขึ้น
ด้านนายเอ็ดดูวาร์ด อูล์โม รองประธานบริหารแอร์บัส ฝ่ายขาย ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก แอฟริกา และสายเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้ ไม่ว่าที่ใดในโลก ซึ่งถือเป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น สิ่งสำคัญคือ การเร่งแก้ปัญหา และพยายามนำผู้โดยสารเดินทางอย่างปลอดภัยให้ได้โดยเร็วที่สุด พร้อมยอมรับว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้การบินทดสอบเที่ยวบินในครั้งนี้ต้องล่าช้าออกไปจากกำหนด แต่ยืนยันว่า การบินทดสอบเที่ยวบินต่อไปยังประเทศเวียดนาม ฮ่องกง และเกาหลีใต้ จะยังคงเดินหน้าต่อไป แม้ว่าจะไม่มีชิ้นส่วนปลายปีกนี้ก็ตาม
แม้จะเกิดอุบัติเหตุเล็กน้อยก่อนทำการบิน แต่เที่ยวบินลำดังกล่าวก็สามารถเดินทางถึง จ.เชียงใหม่ล่าช้าจากกำหนดการเดิมกว่า 4 ชั่วโมง และในเวลา 17.00 น.เที่ยวบินของแอร์บัส A380 ลำดังกล่าวได้เดินทางกลับไปยังสนามบินสุวรรณภูมิก่อนที่จะเดินทางต่อไปยัง กรุงฮายนอยประเทศเวีดนาม ต่อไป
ก่อนหน้านี้ ทางสนามบินสุวรรณภูมิ ระบุว่า ได้เตรียมความพร้อมสำหรับการบินทดสอบของแอร์บัส A380 อาทิ การออกแบบและติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวก ได้แก่ ทางวิ่งที่กว้าง 75 เมตร และยาว 3,700 เมตร 1 เส้น และยาว 4,000 เมตรอีก 1 เส้น โดยจัดทำหลุมจอดไว้ถึง 8 หลุมจอด ประชิดอาคารที่มีสะพานเทียบเครื่องบิน (งวงช้าง) พิเศษมารอรับผู้โดยสารจำนวน 5 สะพาน ที่อาคารเทียบเครื่องบิน C, E และ G ซึ่งเป็นอาคารของผู้โดยสารระหว่างประเทศ
นอกจากนี้ยังติดตั้งสายพานรับกระเป๋าที่มีความยาว 107 เมตร 1 เส้น ซึ่งรองรับกระเป๋าของผู้โดยสารที่มากับเครื่องบินนี้ได้มากถึง 4,000 ใบต่อชั่วโมง และทางสนามบินยังได้จัดสร้างจุดเติมน้ำมันไว้บริการเติมน้ำมันด้วย
ซึ่งหลังเกิดเหตุการณ์นี้ พล.อ.อ. ชลิต พุกผาสุก ประธานกรรมการ บมจ. การบินไทย (THAI) กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่ถือเป็นอุบัติการณ์มากกว่า อย่างไรก็ตามจากนี้ต้องเพิ่มความเข้มงวดในการสื่อสารระหว่างเจ้าหน้าที่ให้มากขึ้น พร้อมปรับปรุงโรงซ่อมแซมของบริษัทการบินไทย ให้รองรับเครื่องบินแอร์บัส A380 ที่มีขนาดใหญ่ให้ได้ โดยเฉพาะฐานล้อที่มีขนาดใหญ่กว่าเครื่องบินรุ่นอื่น
ด้าน ร.ท.อภินันทน์ สุมนะเศรณี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ THAI กล่าวว่า จากการให้ข้อมูลของนักบิน ทำให้การบินไทยต้องกำชับเรื่องความระมัดระวังในการทำหน้าที่ของพนักงานภาคพื้น โดยเฉพาะการลากจูงเครื่องบินให้มากขึ้น พร้อมทั้งยอมรับว่า โรงซ่อมอากาศยานที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ไม่ได้มีการออกแบบไว้เพื่อรองรับเครื่องบินขนาดใหญ่ที่มีฐานล้อกว้างกว่าปกติอย่างแอร์บัส A380 อาจมีส่วนทำให้เกิดเหตุดังกล่าวขึ้น ดังนั้น การบินไทยจะต้องกลับไปทบทวนว่า ปัญหาดังกล่าวจะแก้ไขอย่างไร และอาจต้องมีการปรับปรุงโรงซ่อมอากาศยานไว้ เพื่อให้รองรับเครื่องบินขนาดใหญ่อย่างแอร์บัส A380 ได้ในอนาคต เพราะการบินไทยได้มีการสั่งซื้อเครื่องบินรุ่นนี้มาถึง 6 ลำ ซึ่งจะสามารถรับมอบลำแรกได้ประมาณปี 2553
สำหรับเครื่องบินแอร์บัส A380 นี้ เป็นเครื่องบินพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 525 ที่นั่ง มีกำหนดส่งมอบลำแรกให้สิงคโปร์แอร์ไลน์ ในวันที่ 15 ตุลาคม 2550 ซึ่งการบินครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการเยือนประเทศเอเชีย ปัจจุบันมียอดสั่งซื้อเครื่องบินรุ่นนี้ รวมทั้งสิ้น 173 ลำ จากลูกค้า 14 รายทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วย
--อินโฟเควสท์ โดย นิศารัตน์ วิเชียรศรี โทร.0-2253-5050 ต่อ 322 อีเมล์: nisarat@infoquest.co.th--