ดังนั้น ในเบื้องต้นอยากแนะนำประชาชนทั่วไปเพื่อให้ลดโอกาสเสี่ยงที่จะกลายเป็นเหยื่อ โดยมีแนวทางการป้องกันอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ที่สามารถปฏิบัติได้ง่ายๆ 5 ข้อ ได้แก่ 1. การป้องกันข้อมูลส่วนตัว โดยการตั้งรหัสเข้าข้อมูลของไฟล์ข้อมูลที่ต้องการป้องกัน 2. การป้องกันการเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ เช่น การใส่ชื่อ username และ password การใช้สมาร์ทการ์ดในการควบคุมการใช้งาน หรือกุญแจเพื่อการป้องกันการใช้คอมพิวเตอร์โดยไม่ได้รับอนุญาต การใช้อุปกรณ์ทางชีวภาพ เช่น ตรวจสอบเสียง ลายนิ้วมือ ฝ่ามือ ลายเซ็น ม่านตา เป็นต้น
3. การสำรองข้อมูล โดยไม่เก็บข้อมูลไว้ที่เดียว สามารถสำรองไว้ในอุปกรณ์ที่ใช้อ่านอย่างเดียว เช่น แผ่นซีดีและแผ่นวีดีโอ 4. การตั้งค่าโปรแกรมค้นหาและกำจัดไวรัสคอมพิวเตอร์ เป็นการป้องกันที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากสามารถป้องกันอาชญากรรมคอมพิวเตอร์ได้ 5. ไม่คลิกรับไฟล์ที่ไม่รู้จักที่ส่งเข้ามาผ่านช่องทางต่างๆ เช่น ไลน์ , Email หรือ SMS โดยเฉพาะไฟล์ที่มีนามสกุล .APK , .EXE เป็นต้น ซึ่งอาจเป็นการ Phishing ข้อมูลส่วนบุคคลของเราไปดำเนินการในทางทุจริต รวมถึงการเชิญชวนให้รับโชคต่างๆต้องไม่หลงเชื่อโดยไม่มีการตรวจสอบ
"ล่าสุดที่มีประชาชนจำนวนมาก ตกเป็นเหยื่อแอปเงินกู้เถื่อน เป็นตัวอย่างกรณีศึกษาที่เห็นได้ชัดเจนว่า การที่อนุญาตให้แอปเข้าถึงข้อมูลเพื่อที่จะดำเนินการกู้เงิน ผลที่ตามมาร้ายแรงกว่าที่คิด เพราะผู้ร้ายจะเข้าถึงข้อมูลทั้งหมดของเราได้ เช่น รูปภาพ เบอร์โทรศัพท์ ไฟล์ข้อมูลต่างๆ และนำข้อมูลนั้นมาข่มขู่หรือรบกวนผู้กู้ และผู้ที่รู้จักภายหลังได้ ข้อมูลที่ผู้ร้ายได้ไปแล้วไม่สามารถเรียกคืนได้อีก" นายภุชพงค์กล่าว
นายภุชพงค์ กล่าวว่า บทบาทของกระทรวงฯ ในการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาแอปพลิเคชันผิดกฎหมาย ยังมุ่งเรื่องการตรวจสอบเป็นหลัก เพราะแอปที่เปิดให้บริการอยู่ในประเทศไทย มีการยื่นขอเปิดไปทางผู้ให้บริการระบบปฏิบัติการมือถือ ได้แก่ แอปเปิ้ล และกูเกิล จึงเป็นข้อจำกัดของกระทรวงฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการเฝ้าระวัง
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีเพจอาสาจับตาออนไลน์ ที่จะช่วยประชาสัมพันธ์ และรับแจ้งเบาะแสจากประชาชนว่า แอปพลิเคชันใดที่เข้าข่ายหลอกลวงหรือผิดกฎหมายในข้อต่างๆ สามารถแจ้งเข้ามาได้ทาง inbox คลิก m.me/DESMonitor โดยจะมีทีมงานของกระทรวงฯ และของเพจช่วยกันจับตา ตรวจสอบ และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้
"นอกเหนือจากมาตรการทางเทคโนโลยีที่ผู้ใช้ต้องดำเนินการ หรือมาตรการทางกฎหมายที่รัฐบาลต้องผลักดันกฎหมายต่างๆ แล้ว มาตรการสำคัญอีกประการหนึ่ง ที่จะช่วยให้การป้องกันปราบปรามอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์สัมฤทธิ์ในทางปฏิบัติได้นั้น คือมาตรการด้านความร่วมมือกับระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งไม่ได้จำกัดเพียงเฉพาะหน่วยงานที่มีหน้าที่ตามกฎหมายเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงหน่วยงานอื่นๆ ที่อาจเกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นในด้านของผู้พัฒนาระบบหรือผู้กำหนดนโยบาย" นายภุชพงค์กล่าว
สำหรับผลการดำเนินงาน เกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ จนถึงสิ้นเดือน ก.พ. 64 ดำเนินการยื่นคำสั่งต่อศาล เพื่อขอให้มีคำสั่งระงับการแพร่ข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ผิดกฎหมายไปแล้ว 561 คำสั่ง รวมทั้งสิ้น 20,588 ยูอาร์แอล