พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 วันนี้ ไม่มีคำสั่งห้ามออกนอกเคหะสถาน (เคอร์ฟิว) และไม่มีคำสั่งให้ล็อกดาวน์ แม้จะมีสถานการณ์การระบาดที่เพิ่มขึ้นมากในประเทศช่วงนี้
"มาตรการต่างๆ ผมระมัดระวังที่สุด การตัดสินใจผมเจ็บปวด เพราะรู้ว่าคนเดือดร้อน ทำอะไรต้องคิดถึงคนเหล่านี้ สองคน สองพวก ต้องอยู่ด้วยกันให้ได้" นายกรัฐมนตรีระบุ
"สิ่งยืนยันในขณะนี้ ไม่มีการเคอร์ฟิว ยังไม่ล็อกดาวน์ เห็นใจแต่อาจลดเวลาลงบ้าง ผมไม่อยากปิดอะไรทั้งสิ้น ปิดมันง่ายนิดเดียว แต่คนเดือดร้อนใครบ้าง ถ้าสมมติเคอร์ฟิวส์ทั้งหมดเจ้าหน้าที่ต้องมาขึงพืดกัน เจ้าหน้าที่ก็ติดเชื้อไปเยอะ ซี่งเจ้าหน้าที่ติดเชื้อก็มี แล้วประชาชนมาผ่านด่านด่วนสกัด มันจะติดมากขึ้นไปหรือเปล่า"พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลและทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ติดตามกำกับดูแลและวางแผน แก้ปัญหาในตลอด 7 วันที่ผ่านมา ซึ่งในส่วนของวัคซีนนั้นล่าสุดได้ฉีดให้กับกลุ่มเป้าหมายไปแล้ว ประมาณ 5-6 แสนโดส พร้อมเดินหน้าจัดหาวัคซีนเพิ่มเติม ทั้งในส่วนของวัคซีนหลักและวัคซีนทางเลือกอื่นๆ ที่ล่าสุดได้มีการเจรจากับทางรัสเซียเพื่อจัดหาวัคซีนสปุตนิก และวัคซีนของไฟเซอร์เข้ามาเสริมเพื่อจะได้ฉีดให้กับประชาชนกลุ่มเป้าหมายทั้งหมดได้โดยคาดว่าภายใน 1 ปีจะสามารถฉีดได้ครบร้อยละ 60 ของเป้าหมายที่วางไว้
อย่างไรก็ตาม ปัญหาในขณะนี้คือ ยังต้องใช้วัคซีนในสถานการณ์ฉุกเฉินอยู่ที่จะมีการขายให้ในลักษณะรัฐต่อรัฐเท่านั้น ไม่สามารถซื้อมาเพื่อจำหน่ายต่อได้ ดังนั้น สิ่งที่พยายามดำเนินการ คือการให้องค์การเภสัชกรรมสามารถสั่งซื้อวัคซีน เพื่อแจกจ่ายให้กับโรงพยาบาลเอกชน หรือ ใครก็ตามที่มีขีดความสามารถที่จะจัดหาวัคซีนฉีดเองได้ และขอความร่วมมือบุคลากรทางการแพทย์ที่เกษียณอายุราชการไปแล้วให้มาช่วยกันฉีดวัคซีนเมื่อมีวัคซีนจำนวนมากแล้วในพื้นที่ทุกจังหวัด
ขณะที่การแก้ปัญหาและการออกมาตรการต่างๆ คุมเข้มป้องกันการแพร่ระบาดตนเองเจ็บปวดทุกครั้งที่ต้องออกมาตรการ ยอมรับ การตัดสินใจแบบนี้เจ็บปวด เพราะประชาชนเดือนร้อน ทำอะไรก็ตามต้องคิดถึงคนเหล่านี้ ระวังคนอีกคนได้อย่างไร แต่ก็ต้องอยู่ตรงนี้ให้ได้ แม้ว่าหลายอย่างไม่ใช่ข้อเท็จจริง กรุณาอย่าไปอ่าน ขอให้ฟังรัฐบาล ใครก็ตามโจมตีรัฐบาล โดยหวังผลอะไรก็แล้วแต่ ไม่เป็นผลดีกับประเทศ ถือว่าไม่ร่วมมือกับรัฐบาลในการแก้ปัญหาให้กับประเทศ
นายกรัฐมนตรี ได้ยกตัวอย่างในบางประเทศที่ไม่ใช้มาตรการน็อกดาวน์หรือรณรงค์ให้สวมหน้ากาก จะเห็นได้ว่า มีจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในแต่ละวันเป็นหลักหมื่นคน เช่นเดียวกับจำนวนผู้เสียชีวิตที่อยู่ในหลักหมื่น ทำให้ขณะนี้มีผู้ติดเชื้อทั่วโลกแล้วกว่า 133 ล้านคน ขณะที่ในอาเซียนเองก็มีประเทศที่มีผู้ติดเชื้อต่อวันนับหมื่นราย
ขณะที่ไทยความรู้สึกแม้จะดูเหมือนมีผู้ติดเชื้อมาก และไม่ได้บอกว่าฉีดวัคซีนแล้วจะปลอดภัยทั้งหมด แต่จะเป็นการเพิ่มภูมิต้านทานให้กับคนที่ฉีด ไม่ได้หมายความว่าฉีดแล้วจะไม่เป็นโควิด แต่อย่างน้อยจะมีภูมิต้านทาน ในส่วนของผู้ที่ติดเชื้อ ยืนยันว่า มียารักษา ซึ่งผู้ติดเชื้อที่มีอาการหนักส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว จึงยืนยันว่าไทยยังสามารถรักษาผู้ป่วยโควิดได้ โดยย้ำว่ารัฐบาลไม่ต้องการให้ใครเสียชีวิต และคนที่จะเสียใจมากที่สุดก็คือครอบครัว ตัวเองเป็นคนรักครอบครัว จึงรู้ว่าเข้าใจความรู้สึก วันนี้ตนเองเป็นนายกรัฐมนตรี ก็รักประชาชนไม่ว่าจะยากดีมีจน จนก็ยังรักไม่รักตน ตนก็ยังรัก
นายกรัฐมนตรี ยกคำกล่าวที่ว่า "ประเทศไทยเราต้องชนะ เมื่อถึงยามคับขันประชาชนต้องการผู้กล้าหาญ เมื่อถึงคราวปรึกษางาน ต้องการผู้ที่ไม่พูดพล่าม ไม่พูดไร้สาระ ไม่พูดสิ่งใดที่ไม่เป็นประโยชน์ บิดเบือน ยามมีข้าวมีน้ำก็ต้องการผู้เป็นที่รัก ยามเกิดปัญหาก็ต้องการบัณฑิต"
นายกรัฐมนตรี ยังฝากเตือนถึงประชาชนที่อาจทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค เช่น การชุมนุมที่รัฐบาลเป็นห่วงเรื่องของการแพร่ระบาด และขอให้ทุกคนติดตามข้อมูลข่าวสารจากรัฐบาลอย่าหลงเชื่อข้อมูลที่บิดเบือนโจมตีรัฐบาลเพราะไม่เป็นผลดีกับประเทศชาติและประชาชน พร้อมกับฝากให้ประชาชนทุกคนช่วยกัน ประเทศชาติจะได้ปลอดภัย ประเทศต้องการบัณทิต
"วันนี้เราไม่ต้องการคนที่บ่อนทำลายซึ่งกันและกัน ผมเกลียดใครไม่ได้ เพราะถ้าไปเกลียดหรือแช่งใครก็ตาม มันจะกลับมาที่ตัวเอง ผมไม่ทำเด็ดขาด ผมอโหสิกรรมให้กับทุกคน...ผมยืนยัน ชีวิตผมให้คนไทยและประเทศไทยไปแล้ว ผมต้องทำงานของผมให้เต็มที่ จนกว่าจะทำไม่ได้ หรือไม่ได้ทำ"พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว