นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข เปิดเผยผ่านรายการโทรทัศน์เช้านี้ว่า ในวันนี้จะหารือกับตัวแทนของบริษัท ไฟเซอร์ เพื่อให้ช่วยเร่งจัดส่งวัคซีนต้านโควิดให้กับประเทศไทยเร็วที่สุด จากเดิมที่เคยหารือกันทางไฟเซอร์ระบุว่าจะจัดส่งให้ได้ราวปลายปีนี้ โดยวัคซีนของไฟเซอร์มีข้อดีคือ ไม่มีข้อจำกัดเรื่องอายุ สามารถฉีดได้ตั้งแต่เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไป
อีกทั้งจากการหารือก่อนหน้านี้ พบว่าข้อจำกัดในการขนส่งและการเก็บรักษาลดลงแล้ว จากเดิมที่ต้องเก็บที่อุณหภูมิ -70 องศา แต่ล่าสุดทางไฟเซอร์ระบุว่าหากนำมาใช้ได้เร็ว ก็สามารถเก็บที่อุณหภูมิ 2 องศาได้ ทำให้ไม่ต้องเปลี่ยนระบบโลจิสติกส์และระบบควบคุมรักษา
"วัคซีนอื่นๆ เน้น อายุ 16-18 ต่ำกว่าอายุ 16 แทบไม่มียี่ห้อไหนเลย...เราพยายามฉีดให้ครอบคลุมกลุ่มอายุของคนมากที่สุด การหารือวันนี้ ตอนนี้เหลืออย่างเดียว ส่งได้เมื่อไหร่ ราคาไม่ใช่สิ่งที่กังวลเพราะความปลอดภัยประชาชนมีมากกว่า"
นายอนุทิน ยืนยันว่าการจัดหาวัคซีนเป็นไปตามไทม์ไลน์ไม่ได้ล่าช้า แต่ที่เร็วกว่านี้ไม่ได้เพราะติดขั้นตอนกระบวนการต่างๆ แต่ก็พยายามจัดหาวัคซีนให้ได้มากที่สุด
ทั้งนี้วัคซีนหลักที่จะนำมาใช้เป็นของบริษัท แอสตร้าเซนเนก้า ที่มีกำหนดส่งมอบในต้นเดือน มิ.ย.64 แต่ในช่วงระหว่างที่รอเกิดการระบาดขึ้นมาจึงได้จัดหาวัคซีนซิโนแวกเข้ามา 2-3 ล้านโดส เพื่อใช้สำหรับบุคลากรทางการแพทย์และกลุ่มเสี่ยงสูงตั้งแต่ปลายเดือน ก.พ.64 เป็นต้นมา
ส่วนกรณีบุคลากรทางการแพทย์ 6 รายในจังหวัดระยองเกิดอาการไม่พึงประสงค์หลังได้รับวัคซีนซิโนแวกนั้น คณะกรรมการของทางกรมควบคุมโรคคอยดูแลสถานการณ์อยู่ ประกอบกับทางกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้มีการตรวจมาตรฐานแล้ว ดังนั้นการฉีดวัคซีนจะยังคงดำเนินการต่อไป
"ณ เวลานี้คนที่แพ้น้อยมากเมื่อเทียบกับคนที่ฉีด ทางผู้เชี่ยวชาญและนักวิชาการยังให้เดินหน้าฉีดอยู่ ขอเวลาให้คณะกรรมการสรุปชัดเจนอีกครั้ง"
สำหรับการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดในประเทศน่าจะคลี่คลายลงหลังจากมีการออกมาตรการต่างๆ เช่น การทำงานที่บ้าน การปิดสถานบันเทิง การห้ามจำหน่ายสุรา การห้ามจัดกิจกรรมที่รวมคนจำนวนมาก เนื่องจากการระบาดเกิดจากการสัมผัส โดยการระบาดมีวงรอบ 14 วัน ซึ่งคาดว่าสถานการณ์จะดีขึ้นภายใน 3-5 สัปดาห์
ส่วนกรณีที่นายกรัฐมนตรีระบุเรื่องไม่มีเจ้าหน้าที่รับสายด่วนนั้น ไม่ใช่การตำหนิ แต่เมื่อมีใครท้วงติงก็จะเร่งแก้ไข โดยได้กำชับให้อธิบดีกรมการแพทย์ดำเนินการเพิ่มคู่สายแล้ว อย่างไรก็ตามขอให้ประชาชนยึดถือมาตรการตามหลักชีวอนามัยเย่างเคร่งครัด และเชื่อมั่นในการทำงานของบุคลากรทางการแพทย์ทุกคนที่มุ่งมั่นทำงานเต็มที่