นางศิลปสวย ระวีแสงสูรย์ ปลัดกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า ตามที่ประชาชนมีข้อสงสัยกรณีการบังคับให้ใส่หน้ากาก ตามประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่องให้ประชาชนในพื้นที่กรุงเทพมหานครสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้าทุกครั้ง ตลอดเวลาที่ออกนอกเคหสถาน หรือสถานที่พำนักนั้น โดยเจตนาในการประกาศคือการป้องกันการติดต่อของโรคจากบุคคลไปสู่บุคคล การอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นในอาคารหรือที่ต่าง ๆ จะต้องสวมหน้ากาก สำหรับในที่สาธารณะต้องใส่ตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่คนเดียวหรือไม่ เพราะบุคคลอื่นอาจมาใช้สถานที่นั้นต่อ
กรณีที่อยู่ในรถ : เมื่อมีบุคคลอื่นร่วมอยู่ในรถด้วย จึงต้องสวมหน้ากากอนามัยหรือหน้ากากผ้า ไม่ยกเว้นแม้เป็นครอบครัวเดียวกัน เพื่อประโยชน์ในการควบคุมโรคและการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ และกรณีนั่งคนเดียว จึงอนุโลมได้ว่าไม่ต้องใส่หน้ากาก
กรณีเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ : ทางการแพทย์ไม่แนะนำให้สวมหน้ากาก เพราะเด็กยังไม่รู้วิธีที่จะถอดหน้ากากออก และอาจขาดอากาศหายใจและเสียชีวิตได้ จึงเข้าข่ายอนุโลมไม่ต้องสวมหน้ากาก แต่ให้หลีกเลี่ยงการพาเด็กเล็กไปในสถานที่แออัด หรือพื้นที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาด
กรณีของผู้ประกาศข่าว/จัดรายการในสตูดิโอ : เนื่องจากสตูดิโอถือว่าเป็นสถานที่นอกเคหะสถาน และสถานที่พำนัก ตามประกาศดังกล่าว อีกทั้งเป็นสถานที่มีผู้ปฏิบัติงานรวมกันมากกว่า 1 คน มีลักษณะเป็นห้องปิด ซึ่งจะมีผู้เข้ามาใช้งานต่อเนื่อง การทำงานของผู้ประกาศขณะอ่านข่าวหรือจัดรายการ จึงอยูในเกณฑ์ที่ต้องสวมหน้ากากตามที่กำหนดในประกาศ
อีกทั้งผู้ประกาศข่าวเป็นบุคคลสาธารณะ ที่จะมีภาพปรากฏต่อสาธารณชนทั่วไป จึงควรเป็นภาพที่สวมใส่หน้ากากเพื่อแบบอย่างในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดมีความรุนแรง และต้องการร่วมมือจากประชาชนในการดำเนินการตามมาตรการควบคุมและป้องกันโรคที่ต้องดำเนินการอย่างเข้มข้นในขณะนี้ด้วย
ด้านพล.ต.อ.ดำรงค์ศักดิ์ กิตติประภัสร์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) กล่าวถึงการพิจารณาจับกุมดำเนินคดีกับผู้ที่ไม่สวมหน้ากากอนามัย ยอมรับว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ต้องดูที่เจตนาของประชาชนเป็นหลักเพื่อป้องกันไม่ให้ถูกมองว่าตำรวจรังแกประชาชนหรือฉวยโอกาสเรียกรับผลประโยชน์ ส่วนหลักเกณฑ์การพิจารณาว่าการกระทำใดเป็นการจงใจหรือเจตนาฝ่าฝืน ผบ.ตร.ได้มอบหมายให้ผู้บังคับการจังหวัดตั้งทีมกฎหมายให้คำปรึกษากับเจ้าหน้าที่ที่ปฎิบัติแล้ว ส่วนกรณีมาคนเดียวไม่สวมหน้ากากอนามัยนั้น ทางฝ่ายกฎหมายของ กทม. เห็นว่ายังไม่ชัดเจน ซึ่งทางตำรวจก็เห็นสอดคล้องเพราะไม่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อโควิด-19 ก็อาจจะพิจารณาหรืออนุโลม ซึ่งต้องใช้ดุลยพินิจในการพิจารณาโดยขณะนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยังคงเร่งประชาสัมพันธ์และแจ้งการรับรู้ให้ประชาชนหากผ่านช่วงนี้ไปแล้ว ยังพบว่าฝ่าฝืนไม่ปฎิบัติตามก็จะดำเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ส่วนกรณีครอบครัวเดียวกันนั่งรถยนต์ออกจากบ้านนั้น หากคนไหนไม่ใส่หน้ากากอนามัยก็ถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย รองผบ.ตร. กล่าวอีกว่า ได้สั่งการให้ฝ่ายสืบสวนดำเนินการสืบสวนหาผู้ที่ปล่อยข่าวปลอม (fake news) กรณีตำรวจ สภ.บางปะหัน ดำเนินคดีกับผู้ที่เดินในตลาดจงใจไม่สวมหน้ากากอนามัย แต่กลับพบว่ามีการบิดเบือนว่ากล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่จับกุมขณะขับรถ ซึ่งไม่เป็นความจริงและสร้างความเสียหายให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ปัจจุบันมี 48 จังหวัดรวมทั้งกรุงเทพมหานคร ที่ทางผู้ว่าราชการจังหวัดได้ออกประกาศให้ประชาชนทุกคนใส่หน้ากากอนามัย ก่อนออกจากเคหสถานหากไม่ฝ่าฝืนหรือไม่ปฎิบัติตามจะถือว่ามีความผิด