(เพิ่มเติม) นายกฯ เล็งเปิดทางพื้นที่สีแดงประเมินสถานการณ์วันต่อวันก่อนคลายมาตรการคุมเข้ม

ข่าวทั่วไป Tuesday May 11, 2021 14:00 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ระบุว่า ภายหลังจากที่ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) ได้พิจารณาสั่งปิดสถานที่ ตลอดกิจการ/กิจกรรมต่างๆ เพื่อควบคุมการระบาดของไวรัสโควิดในประเทศนั้น ได้มอบนโยบายให้ผู้ว่าราชการจังหวัดในโซนพื้นที่สีแดงไปประเมินสถานการณ์แบบวันต่อวัน เพื่อพิจารณาแนวโน้มสถานการณ์ในพื้นที่ว่าจะสามารถเริ่มผ่อนคลายกิจการ/กิจกรรมได้หรือไม่ ซึ่งจะช่วยให้ประชาชนเริ่มกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ แต่ทั้งนี้ การพิจารณาจะต้องให้มีความสมดุลระหว่างด้านเศรษฐกิจและด้านสาธารณสุขควบคู่กันไป

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้เสนอให้คณะรัฐมนตรีกำหนดการฉีดวัคซีนโควิด-19 เป็นวาระแห่งชาติ ซึ่งจะต้องมีการดำเนินการอย่างครบวงจร ตั้งแต่กระบวนการจัดหาวัคซีน การกระจายวัคซีน และการฉีดวัคซีน ทั้งนี้เพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ของประเทศ แต่การดำเนินการดังกล่าวจะไม่สามารถทำได้หากประชาชนไม่ให้ความร่วมมือ ดังนั้น จึงขอให้ประชาชนมารับการฉีดวัคซีนให้มากที่สุด และยืนยันว่าวัคซีนที่รัฐบาลได้จัดหามานั้นมีการตรวจสอบคุณภาพ และได้รับการรับรองความปลอดภัยจากกระทรวงสาธารณสุขแล้วและใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก มีคนฉีดไปแล้วหลาย 10 ล้านคน รวมทั้งผู้นำประเทศทั่วโลกก็ได้รับการฉีดวัคซีนแล้ว โดยผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกต่างยืนยันว่า วัคซีนโควิดทุกชนิดสามารถป้องกันการป่วยรุนแรงหากติดเชื้อ และป้องกันการเสียชีวิตได้เกือบ 100%

นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เราเดินหน้าต่อไปได้ คือ การฉีดวัคซีน ซึ่งที่ผ่านมาได้เร่งระดมฉีดวัคซีนให้กับบุคลากรทางการแพทย์ และผู้ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยง รวมทั้งพื้นที่เศรษฐกิจ รวมเกือบ 2 ล้านโดสแล้ว โดยระดมฉีดวันละหลายหมื่นโดส และจากมาตรการจัดหาวัคซีนฉุกเฉินของรัฐบาล สามารถจัดหาวัคซีนได้เพิ่มเติมอีก 3.5 ล้านโดสในเดือนนี้ และได้ความร่วมมือจากภาคเอกชนในการเพิ่มศักยภาพในการฉีด

ส่วนโอกาสในการเกิดผลข้างเคียงถือว่า มีน้อยมากๆ หากเปรียบเทียบกันแล้ว โอกาสในการติดโควิดและเสียชีวิตจากโควิดนั้นมีสูงกว่าการฉีดแล้วเกิดผลข้างเคียงหลายพันเท่า และในการฉีดแต่ละครั้ง จะมีแพทย์ผู้ทำการประเมินความเหมาะสม และคอยเฝ้าดูอาการหลังฉีดอีกด้วย ซึ่งตนเอง รวมทั้งคณะรัฐมนตรี สส.ทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้านต่างได้ฉีดวัคซีนโควิดไปแล้วโดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ

สำหรับการเปิดลงทะเบียนยืนยันและนัดหมายการฉีดวัคซีน ผ่านระบบหมอพร้อม และช่องทางต่างๆ นายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า สำหรับกลุ่มผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป และผู้ป่วย 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง มีผู้ลงทะเบียนแล้ว กว่า 1.6 ล้านคน สูงสุดอยู่ที่กทม. กว่า 5 แสนคน ตามด้วยจ.ลำปาง ซึ่งมียอด มากกว่า 2 แสนคน ซึ่งหากนับตามสัดส่วนประชากรถือว่า ลำปางมีสัดส่วนสูงที่สุดในประเทศ นับว่ามีความตื่นตัวในพื้นที่อย่างดีและขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆ จังหวัด มีจำนวนผู้มาขอรับการฉีดวัคซีนให้มากที่สุด

พร้อมทั้ง ยืนยันว่า รัฐบาลสามารถจัดหาวัคซีนให้กับประชากรในประเทศได้ทุกคนอย่างแน่นอน และจะไม่หยุดในการจัดหาวัคซีนสำรองไว้เพื่อความปลอดภัยของคนไทยทุกคน และประเทศไทยเป็นเพียงประเทศเดียวในอาเซียนที่เป็นศูนย์กลางในการผลิตวัคซีนโควิด-19 ของบริษัทแอสตราเซนเนก้า ซึ่งผลิตโดยบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ ที่ได้มาตรฐานสูง ผ่านการรับรองคุณภาพจากทั่วโลก และจะสร้างความมั่นคงในการต่อสู้กับไวรัสโควิด-19 นี้ในระยะยาว และสร้างศักยภาพทางเศรษฐกิจและการแข่งขันให้กับประเทศชาติในอนาคตอีกด้วย

สำหรับการแพร่ระบาดในพื้นที่คลองเตยนั้น นายกรัฐมนตรี ระบุว่า ได้ติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากเป็นพื้นที่ใจกลางเมือง และกระทบกับชีวิตความปลอดภัยของประชาชนเป็นจำนวนมาก และจนถึงขณะนี้ได้มีการฉีดวัคซีนในพื้นที่คลองเตยไปแล้วมากกว่า 13,000 คน หรือเกือบ 30% ของ เป้าหมาย ที่จะฉีดให้ได้อย่างน้อย 5 หมื่นคน และพื้นที่ปทุมวันที่อยู่ใกล้เคียง ได้ฉีดวัคซีนไปแล้วมากกว่า 50% ของเป้าหมาย 14,000 คน โดยเฉลี่ยแล้วทั้งสองเขตฉีดได้มากกว่าวันละ 2,000 คน โดยผลการดำเนินการจากคลัสเตอร์คลองเตย จะใช้เป็นแนวทางในการจัดการกับการแพร่ระบาดในพื้นที่เขตอื่นๆ ของ กทม.และปริมณฑล รวมทั้งในต่างจังหวัดด้วย

ทั้งนี้ ตนเองในฐานะผอ.ศบค. กรุงเทพและปริมณฑล ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานได้ระดมสรรพกำลังเข้าป้องกันการลุกลามอย่างเต็มที่ ด้วยการระดมตรวจเชิงรุกให้ได้มากที่สุดในพื้นที่เป้าหมาย และนับตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมา ในกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล มีการตรวจไปแล้วมากกว่า 70,000 รายในชุมชนที่มีความเสี่ยง เฉลี่ย 7,000 รายต่อวัน และผลที่เกิดขึ้นคือ เราสามารถระบุตัวผู้ติดเชื้อ และคัดแยกผู้ติดเชื้อไปรักษาได้อย่างทันการณ์ รวมทั้งแยกผู้มีความเสี่ยงจากการอยู่ใกล้ชิด ไปกักตัว ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่อ จำกัดวงการแพร่ระบาดให้แคบที่สุดและสั้นที่สุด

"ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ท่านอาจจะเห็นยอดผู้ติดเชื้อต่อวันเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งก็เป็นผล มาจากการตรวจเชิงรุกแบบปูพรมของเรา ทำให้ตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันในช่วงนี้ อาจจะยังมีขึ้นมีลง อยู่บ้าง แต่ทางทีมแพทย์เชื่อมั่นว่า ด้วยวิธีนี้ จะทำให้เราควบคุมสถานการณ์ได้ในไม่ช้า และยอดผู้ติดเชื้อจากในพื้นที่จะค่อยๆ ลดลง และล่าสุด ยอดผู้ติดเชื้อในกรุงเทพเริ่มทรงตัว ซึ่งถือเป็นแนวโน้มที่ดี แต่รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจ จะดำเนินการตรวจเชิงรุกในพื้นที่เสี่ยงต่อไปให้มากและเร็วที่สุด และในขณะเดียวกัน ก็เร่งระดมฉีดวัคซีน สร้างภูมิคุ้มกันให้ประชาชนให้มากที่สุด เพื่อตัดวงจรสะเก็ดไฟ""พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า รัฐบาลจะดูแลค่ารักษาพยาบาล ออกค่าใช้จ่ายให้ประชาชนทุกคนตามสิทธิ ตั้งแต่การตรวจคัดกรองกลุ่มเสี่ยง การรับวัคซีนการชดเชยกรณีได้รับ ผลข้างเคียงการฉีดวัคซีน และการรักษาพยาบาล ในกรณีโรงพยาบาลเอกชน รัฐจะอุดหนุนค่าใช้จ่าย ไปที่ รพ.เอกชน เพิ่ม 25% ในทุกรายการ และหากมีประกันส่วนบุคคลให้โรงพยาบาลเรียกเก็บประกันส่วนบุคคลก่อน ที่เหลือให้เรียกเก็บกับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โดยห้ามโรงพยาบาลเรียกเก็บค่าใช้จ่ายจากประชาชน หากฝ่าฝืนจะมีโทษตามกฎหมาย ส่วนกรณีที่เกิดความเสียหายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น บาดเจ็บ เจ็บป่วยต่อเนื่อง เสียอวัยวะ พิการ ทุพพลภาพถาวร หรือ เสียชีวิต สามารถยื่นขอรับเงินเยียวยาได้จาก สปสช. ได้

นายกรัฐมนตรี ขอให้ทุกคนระมัดระวังตนเอง เพราะในขณะนี้ยังไม่พ้นจากการแพร่ระบาดในระลอกนี้ ขอให้ทุกคนป้องกันตนเองให้เต็มที่ โดยจะเห็นได้ว่า ผู้ติดเชื้อจำนวนมากในระลอกนี้ เป็นการติดเชื้อในครอบครัว ในหมู่เพื่อนฝูง ที่ทำงาน ซึ่งเป็นเรื่องยากที่ภาครัฐจะลงไปควบคุมดูแลได้ทั้งหมด

นายกรัฐมนตรี ย้ำเดินหน้าทำงานต่อเนื่องไม่เว้นแม้แต่วันหยุดในการวางแผนและดำเนินการช่วยเหลือประชาชน คลี่คลายสถานการณ์ การแพร่ระบาดของโควิด และบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจ ปัญหาปากท้องของประชาชน และเตรียมความพร้อมในการฟื้นฟูอนาคตประเทศไทย และตอบรับโอกาสที่กำลังจะมาถึง

"เราคนไทยทั้งประเทศ และทั่วโลก กำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวร้ายที่เราไม่เคยพบเจอมาก่อน ที่ชื่อว่า ไวรัสโควิด-19 และทางเดียวที่เราจะเอาชนะศัตรูตัวนี้ได้ก็คือ การร่วมแรงร่วมใจร่วมมือกัน แก้ปัญหา ไม่ใช่การขัดแย้งหรือแตกแยกกัน อนาคตของประเทศไทยต่อจากนี้ จะขับเคลื่อนไปได้อย่างมั่นคงเพียงใด ก็ขึ้นอยู่กับเราทุกคน ที่จะต้องรวมใจให้เป็นหนึ่งเดียวแล้วก้าวเดินไปพร้อมกัน"พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ