นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข กล่าวภายหลังการประชุมคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนโควิด-19 ว่า คณะอนุกรรมการฯ มีมติเห็นชอบการปรับแผนการกระจายวัคซีนโควิด-19 ด้วยกลยุทธ์ "ฉีดปูพรม" (Mass Vaccination) ในพื้นที่ระบาด เนื่องจากสถานการณ์การระบาดในขณะนี้ ยังอยู่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเป็นหลัก
นอกจากนี้ ยังเร่งรัดให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนได้สะดวกและรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการฉีดเชิงรุกนอกโรงพยาบาล ล่าสุด นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ได้เสนอให้ใช้พื้นที่สถานีรถไฟกลางบางซื่อเป็นศูนย์ฉีดวัคซีน ซึ่งมีความกว้างขวางและรองรับคนได้จำนวนมาก พร้อมเปิดให้คนเดินมารับวัคซีนได้
นายอนุทิน กล่าวย้ำว่า รัฐบาลมีนโยบายให้ทุกคนในประเทศไทยได้รับวัคซีนโควิด 19 ตามความสมัครใจ ซึ่งประชากรทั้งคนไทยและต่างชาติในประเทศไทยมีประมาณ 70 ล้านคน การรับวัคซีนครอบคลุมให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ คือ 70% ของประชากร เท่ากับประมาณ 50 ล้านคน โดยใช้วัคซีนจำนวน 100 ล้านโดส ตั้งเป้าฉีดวัคซีนให้เสร็จสิ้นภายในเดือน ธ.ค.64
นพ.โสภณ เมฆธน ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการอำนวยการบริหารจัดการการให้วัคซีนโควิด-19 กล่าวว่า กลยุทธ์การปูพรมฉีดวัคซีนใน กทม.และปริมณฑล จะมีทั้งวัคซีนของซิโนแวคและแอสตร้าเซนเนก้า เนื่องจากในเดือน พ.ค.จะมีวัคซีนซิโนแวกเข้ามาอีก 2.5 ล้านโดส และวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้าที่ผลิตโดยบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด ที่คาดว่าจะส่งมอบช่วงปลายเดือน พ.ค.อีก 1.7 ล้านโดส
โดยในส่วนของ กทม.ตั้งเป้าจะฉีดให้ได้ครอบคลุม 70% ของประชากร คือ 5 ล้านคน ภายใน 2 เดือน โดยฉีดให้แก่ผู้ที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่ไม่มีข้อห้ามทางการแพทย์ เร่งรัดการฉีดวัคซีนในพื้นที่ระบาดโดยเพิ่มจุดบริการนอกโรงพยาบาล เช่น สนามกีฬา มหาวิทยาลัย ศูนย์การประชุม หรือศูนย์การค้า เป้าหมายฉีดให้ได้ 1 แสนโดสต่อวัน