พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ดีพอ รองผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (รอง ผบก.ปอท.) ในฐานะรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) เปิดเผยว่า กรณีที่มีการโพสต์และแชร์ต่อข่าวปลอมที่ระบาดมากในช่วงเวลานี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนในการรับทราบข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะจากสื่อสังคมออนไลน์ซึ่งขณะนี้มีการเผยแพร่และส่งต่อข้อมูล โดยเฉพาะเป็นข่าวที่สร้างความสับสนในลักษณะข่าวปลอม
"ตามธรรมชาติของข่าวปลอม มักจะหยิบยกประเด็นที่เป็นสิ่งที่น่าสนใจของสังคมเป็นประเด็นร้อน หรือที่เรียกว่า Hot Issue ตัวอย่างเห็นได้ชัดเจนในช่วงเวลานี้ ที่เป็นประเด็นร้อนของสังคมเราก็คือ โรคไวรัสโควิด-19 ดังนั้นขณะนี้จึงมีการเผยแพร่ส่งต่อข้อมูลข่าวสารที่ทั้งจริง ทั้งเท็จ เข้าไปตามสื่อสังคมออนไลน์อย่างมากมาย โดยเฉพาะประเด็นเรื่องของการฉีดวัคซีน โดยมีการโจมตีในเรื่องการฉีดวัคซีนแล้วเกิดมีอาการแพ้บ้าง ฉีดแล้วมีผลกระทบต่อร่างกายจนถึงขั้นเสียชีวิต" พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ กล่าว
โดยล่าสุดที่ตรวจสอบยืนยันแล้วว่าเป็นข่าวปลอมคือ กรณีการส่งต่อข้อความแจ้งกับในไลน์กลุ่มต่างๆ ในเวลานี้ว่า เมื่อวันที่ 7 พ.ค.64 พ.ต.อ.ปรัชญ์ สุนทรพิมล ผกก.ตชด.21 เสียชีวิตแล้ว อันเนื่องมาจากฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 หลังจากฉีดแค่ 5 นาที ก็ได้ล้มทั้งยืน นำตัวส่ง รพ.ซึ่งได้เสียชีวิตในเวลาต่อมา และเมื่อวันที่ 8 พ.ค.64 เวลา 20.00 น. พ.ต.ท.วิญญู พันธุ นรต.62 สว.กก.3 บก.สตม.เสียชีวิต หลังฉีดวัคซีนฯ รวมทั้ง พ.ต.ท.หญิง ศรัณย์รัชต์ วังสะปัญญา อายุ 56 ปี รอง ผกก.ฝ่ายตรวจลงตรา ด่าน ตม.ทอ.สุวรรณภูมิ เสียชีวิตอย่างปริศนา และต่อมามีข่าวว่าสาเหตุมาจากที่ได้ทดลองฉีดวัคซีนโควิด-19 "ทั้งหมด ล้วนแล้วเป็นข่าวเท็จทั้งสิ้น ดังนั้นทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ อยากให้พี่น้องประชาชนติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างมีสติ โดยเฉพาะข้อมูลที่มีการส่งต่อกันในสื่อสังคมออนไลน์ในลักษณะไม่มีที่มาที่ไป หรือไม่มีแหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือได้ ก่อนที่จะเชื่อและส่งต่อข้อมูลให้กับผู้อื่น โดยขอให้ติดตามข้อมูลข่าวสารจาก หน่วยงานราชการ โดยเฉพาะ ศบค.-ศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ กระทรวงสาธารณสุข หรือรับฟังข้อมูลจากแพทย์ที่ได้รับมอบหมายโดยตรงในการให้ข้อมูล" พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ กล่าว
สำหรับบุคคลที่มีการนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จ หรือข่าวปลอมเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์นั้น และทำให้ประชาชนเกิดความตื่นตระหนก เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2560 มาตรา 14 (2) ซึ่งมีอัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับสำหรับผู้ที่ส่งต่อข้อมูล หรือที่เรียกว่าแชร์ โดยรู้อยู่แล้วว่าข้อมูลนั้นเป็นเท็จก็จะมีความผิดไปด้วย ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ มาตรา 14 (5) อัตราโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
"อยากเตือนสำหรับผู้ไม่หวังดี มีเจตนาบิดเบือนปลอมข้อมูลข่าวสาร อย่าได้ทำการเผยแพร่เด็ดขาด เพราะขณะนี้พี่น้องประชาชนก็ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 อย่างมากอยู่แล้ว อย่ามาซ้ำเติมประเทศด้วยการสร้างความสับสน ตื่นตระหนกให้กับสังคมเป็นสิ่งไม่ดี ซึ่งสุดท้ายก็จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป" พ.ต.อ.ศิริวัฒน์ ระบุ