สถิติฯเผยปี 50 คนไทยจ่ายค่ารักษาพยาบาลเพิ่มขึ้นแต่ส่วนใหญ่ซื้อยากินเอง

ข่าวทั่วไป Friday October 12, 2007 17:02 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          สำนักงานสถิติแห่งชาติ เผยผลสำรวจคนไทยมีรายจ่ายค่ารักษาพยาบาลเฉลี่ยในปี 50 อยู่ที่คนละ 162 บาท ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับจากปี 47 โดยส่วนใหญ่ยังนิยมที่จะไปซื้อยามากินเองและหาหมอตามคลินิกเอกชน
"เป็นที่น่าสังเกตุว่าประชาชนที่ซื้อยากินเองหรือไปคลินิกเอกชนมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 48 เป็นต้นมา ขณะที่การไปรักษาพยาบาลที่สถานีอนามัยและศูนย์สุขภาพชุมชน โรงพยาบาลชุมชน มีแนวโน้มที่ลดลง" เอกสารเผยแพร่ ระบุ
ประชาชนส่วนใหญ่ 26.7% นิยมไปซื้อยากินเองมากสุด เนื่องจากเห็นว่าอาการป่วยไข้ไม่หนักและหาซื้อได้สะดวก รองลงมารักษาตัวในคลีนิกเอกชน 21.7%, สถานีอนามัยและศูนย์สุขภาพชุมชน 16.2% โรงพยาบาลชุมชน 16% โรงพยาบาลทั่วไป 7.8% โรงพยาบาลเอกชน 4.8% โรงพยาบาลรัฐ 2.6%, ใช้ยาแผนโบราณ 1% และหมอพื้นบ้านหรือหมอแผนโบราณ 0.3% เป็นต้น
ขณะที่ค่ารักษาพยาบาลเฉลี่ยอยู่ที่รายละ 162.1 บาท เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจาก 128.7 บาท ในปี 47, 144.1 บาท ในปี 48 และ 155.9 บาทในปี 49 โดยสัดส่วนการไม่เสียค่ารักษาพยาบาล กับผู้ที่จ่ายค่ารักษาพยาบาลเกินปีละ 5,000 บาท มีแนวโน้มสูงขึ้นจากปี 49
สำหรับผู้ป่วยในที่เข้ารักษาตัวในสถานพยาบาลพบว่า ไม่เสียค่ารักษามากสุด 62.6% รองลงมาต่ำกว่า 500 บาท สัดส่วน 16.1%, จ่าย 1,000-4,999 บาท 8.5%, จ่าย 10,000-49,999 บาท 5.7%, จ่าย 5,000-9,999 บาท 4.4%, จ่าย 500-999 บาท 2.2% และ 50,000 บาทขึ้นไป 0.5%
ส่วนการเข้าถึงสวัสดิการค่ารักษาพยาบาลมีแนวโน้มสูงขึ้นจาก 60.6 ล้านคนในปี 46 เป็น 63.2 ล้านคนในปี 50 จากประชากรทั้งหมด 65.64 ล้านคน แบ่งเป็น ผู้ที่มีบัตรประกันสุขภาพหรือบัตรทอง 76.6%, บัตรประกันสังคมหรือกองทุนเงินทดแทน 12.7%, สวัดิการข้าราชการหรือราชการบำนาญ และ รัฐวิสาหกิจ 9.5%, ประกันสุขภาพบริษัทประกัน 2.3% และ สวัสดิการนายจ้าง 0.4%
ทั้งนี้ สำนักงานสถิติแห่งชาติ ได้ทำการสำรวจด้วยวิธีสุ่มตัวอย่างจากทุกจังหวัดจำนวน 26,000 ครัวเรือน เพื่อรวบรวมข้อมูลของประชากรเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลและการใช้บริการสาธารณสุข โดยได้สำรวจตั้งแต่ช่วงเดือน ม.ค.-มิ.ย.50 ซึ่งแนวโน้มประชากรได้รับสวัสดิการเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะไม่ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาล ขณะที่ผู้มีบัตรประกันสังคมหรือกองทุนเงินทดแทนเพิ่มจาก 9.7% ในปี 46 เป็น 11.9% ในปี 48 และ 12.7% ในปี 50

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ